พระบรมโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า : “…กฎหมายทั้งปวงจะธำรงความยุติธรรมและถูกต้องเที่ยงตรง หรือจะธำรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมอยู่ได้หรือไม่เพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ จริงแล้ว ก็จะทรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพอันสมบูรณ์ไว้ได้ แต่หากนำไปใช้ให้ผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ โดยการพลิกแพลงบิดพลิ้วให้ผัวผวนไปด้วยความหลงผิด ด้วยอคติ หรือด้วยเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ต่างๆ กฎหมายก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพลงทันที และกลับกลายเป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวง...”
นักกฎหมายฝ่ายบริหารซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายโดยตรงต้องใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะการปกครองตามหลักนิติธรรมนั้น ทุกคนย่อมเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย ผู้ที่เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องได้รับความคุ้มครอง ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ต้องไม่มีการลูบหน้าปะจมูก หรือเลือกปฏิบัติ แต่ที่ผ่านมา ถ้าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือนักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพล ทำผิดกฎหมายมักจะไม่ถูกดำเนินคดี จนมีการเปรียบเปรยว่า “กฎหมายก็คือใยแมงมุม ที่ดักจับได้แต่แมลงตัวเล็กๆ ส่วนแมลงตัวใหญ่ก็บินผ่านไปได้” ซ้ำร้าย นักกฎหมายผู้ปฏิบัติงานบางคนก็จงใจบิดเบือนกฎหมายใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กลั่นแกล้งผู้แข่ง หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อขจัดเขาให้พ้นทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง และทำให้บ้านเมืองไม่พัฒนา เพราะมันแต่เล่นพรรคเล่นพวก