เมืองอัสซีซี เป็นเมืองซึ่งดั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเินินเขา เหนือที่
ราบลุ่มอันงดงาม ในใจกลางของประเทศอิตาลี เป็นสถานที่ซึ่งมีวิว
ทิวทัศน์สวยงามประทับใจ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ ถึงกับมี
คำพังเพยที่ว่า "เป็นสวรรค์บนแผ่นดิน" อากาศก็ปลอดโปร่งทั้งกลางวัน
และกลางคืน ภูเขาสูงทอดยาวสง่างาม พลเมืองท้องถิ่นก็ยังมีชื่อเสียง
เป็นชายชาติทหารหาญ นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิโรมัน แผ่อำนาจทั่ว
ประเทศแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน ทั่วทวีปเอเชีย แอฟริกาและยุโรป
ณ เมืองอัสซีซีนี้เอง ในปี ค.ศ.1182 นักบุญฟรังซิสก็ได้ถือ
กำเนิดมา บิดาชื่อเปโตร แบร์นาโด เป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยมีชื่ิอเสียง
มารดาชื่อ ปิกกา เป็นชาวฝรั่งเศสภาคกลาง มาจากตระกูลผู้้ดี
† เมืองอัสซีซี Assisi
ในสมัยนั้นเป็นยุคที่ศิลปินเฟื่องฟูประชาชนนิยมการแต่งโครง ฉันท์ กาพย์ กลอน และบทเพลง นักร้องและนักแต่งเพลง
ที่มีชื่อ มักจะไปเที่ยวโชว์ตัวตามหัวเมืองใหญ่ที่ได้รับเชิญ เป็นการเรียกร้องยั่วยุให้บรรดาวัยรุ่น และหนุ่มสาวให้ไปประชุม
กันทุกนัดทุกแห่งหน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การประกวดแข่งขันกันด้วยเสื้อผ้า อาภรณ์ที่หรูหรา ใครข่มรัศมีเพื่อนๆ ในเรื่อง
เครื่องแต่งตัวได้ ผู้นั้นก็จะมีชื่อว่า "ดาราสังคม" และผู้คนก็พากันยกย่องเขาไปไกลและนานจนกว่าจะมีดาวดวงใหม่
ฉายรัศมีที่แรงกว่า
นักบุญฟรังซิส เป็นบุคคลที่เจริญวัยขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พูลสุขทุกด้าน มีอัธยาศัยไมตรีอันดีงาม มีจิตใจ
ละเอียดอ่อนของศิลปินเต็มตัว มีใจกว้าง เมตตา เป็นที่รักใคร่ชอบพอของทุกคน ทุกระดับ แต่เนื่องจากเกิดมาในตระูกูลที่
มั่งคั่งและถูกตามใจจนเป็นนิสัย นักบุญฟรังซิสจึงเจริญชีวิตเยี่ยงมงกุฎราชกุมารมากเสียกว่าบุตรชายของพ่อค้า ท่านใช้
ชีวิตในวัยรุ่นด้วยการปล่อยตัวไปตามสมัยของโลก ใช้เงินอย่างสุร่อยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ ในงานสโมสรจและงานเลี้ยงฉลอง
สำคัญทุุกแห่งดูเหมือนว่าจะขาดท่านไม่ได้ หลังจากกินเลี้ยงกันแล้ว ก็จะพากันร้องเพลงเป็นที่สนุกสนานไปตามถนนหลวง
ในเวลานั้นท่านมีเสียงนุ่มนวลกังวาบและสามารถร้องเพลงฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้นได้หลายเพลง ท่านจึงได้รับคำ
สรรเสริญจากสังคม ราวกับว่าจะส่งท่านให้พุ่งสู่ฟ้า ดุจดังจรวดก็ว่าได้ เหตุนี้เงินโบนัสที่ท่านได้รับจากบิดาของท่าน จึงถูก
ใช้จ่ายแบบ ติดลบ อยู่บ่อยๆ แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังทำตนให้อยู่ในระดับ "ดาวประกายพรึก" เปล่งรัศมีเจิดจ้าอยู่เสมอ เป็นต้น
ด้วยการออกแบบเครื่องแต่งกายนำสมัย ถึงกับว่าครั้งหนึ่งใช้เครื่องแต่งกายที่ท่อนบนเป็นผ้าเนื้อละเอียด และท่อนล่างเป็นผ้า
เนื้อหยาบ
แต่ได้มาถึงเวลาหนึ่งที่ฉากใหม่ในชีวิตของท่านต้องเริ่มขึ้น ท่านผู้ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ
โลกโดยทำให้ประชาชนเลิกการแต่งตัวหรูหราและชีวิตที่ฟุ่มเฟือย มานิยมตามแบบพระเยซู
ขณะนั้นท่านมีอายุได้ 25 ปี พระองค์ทรงเลือกท่านให้เป็นประดุจความสว่างแก่ผู้เชื่อทั้งหลาย
โดยให้ท่านเป็นแบบอย่าง เป็นผู้นำทางอย่างครบครัน ตามแนวทางแห่งพระวรสาร
และเป็นทูตแห่งสันติภาพอย่าแท้จริง
ณ ภายใน วัดนักบุญดามีอาโน ในสภาพที่สลักหักพัง ต่อหน้ารูปพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขน
ท่านได้คุกเข่าลงสวดภาวนา พิศเพ่งรูปกางเขนของพระเจ้า ด้วยน้ำตาที่เอ่อนอง ทันใดท่านก็ได้
ยินเสียงแว่วออกมาจากกางเขนว่า "ฟรัสซิส ไม่เห็นหรือว่า เคหะของเราจะพังมิพังแหล่อยู่แล้ว
จงลงมือซ่อมแซมเสียเถิด" ท่านได้ยินถึง 3 ครั้ง แล้วท่านจึงเข้าใจว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
ที่จะให้ท่านซ่อมแซมวัด (ซึ่งวัดในที่นี้หมายถึง พระศาสนจักรที่กำลังเสื่อมโทรม) ท่านจึงได้ทำการ
ซ่อมแซมวัดนี้ถวายแด่พระเจ้า โดยไม่ได้ขุดรื้ออก แต่ได้สร้างบนรากฐานเิดิม เหตุนี้โดยไม่รู้ตัว
ท่านได้ทำให้พระคริสตเจ้าทรงเป็นเอก เพราะว่าผู้ใดจะวางรากฐานอื่นไม่ได้อีกแล้ว
นอกจากผู้ที่ไ้ด้วางไว้แล้วคือ พระเยซูคริสต์
ท่านได้เจริญชีวิต ตามพระวรสารอย่างซื่อๆ โดยไม่หยุดยั้งการใช้โทษบาปและเทศนาให้คนกลับใจ คำพูดของท่าน
เป็นเหมือนเปลวไฟที่ไหม้แผดเผาเข้าในที่ลึกแห่งจิตใจของคนทั้งหลาย และโดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ท่านก็
สามารถชักจูงศัตรูของสันติภาพ และความรอดของตนเองให้กลับเข้าเป็นบุตรแห่งสันติและปรารถนาความรอดนิรันดร
เมล็ดข้าวไม่ตกบนดินและเน่าเปื่อยไป มันก็อยู่โดดเดี่ยวไร้ผล และถ้ามันตายก็จะเกิดผลอุดม
ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า และพระกรุณาธิคุณของพระองค์ เมล็ดพันธุ์อันดีจากชีวิตของท่านก็ได้เกิดผล
บรรดาผู้คนพากันกลับใจใช้โทษบาป บุรุษมากมายได้มาอยู่ร่วมกับท่านในหนทางที่ซื่อๆ แห่งพระวรสารของพระคริสต์
จนได้เกิดเป็นคณะขึ้นและแผ่ขยายไปทั่วทิศาุนุทิศ ท่านเป็นผู้ที่นำไฟมายังโลกที่มืดมนให้ประชาชนได้หลุดพ้นและเห็น
แสงสว่าง และในปี ค.ศ.1226 ท่านก็ได้คืนวิญญาณแก่พระเจ้า โดยมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ประทับติด
อยู่บนร่างกายของท่าน
และนอกจากบุรุษที่ได้พบแสงสว่างนิรันดรแล้ว สตรีผู้อ่อนแอก็ได้รับความช่วยเหลือ
ให้พบแสงสว่างด้วยเช่นกัน เหตุนี้พระองค์จึงทรงให้นักบุญกลารา พรหมจารีที่น่าเคารพ
ได้เกิดขึ้นมาในโลก ในปี ค.ศ.1193 ณ เมืองอัสซีซี จากตระกูลขุนนางผู้ดีที่ร่ำรวย
บิดาชื่อ ฟาวอรีโน เชฟี มารดาชื่อ ออรโตลานา ซึ่งเป็นผู้มีบุญวาสนาได้รับคำทำนายจาก
องค์พระเจ้าว่าท่านจะได้ให้แสงสว่างแก่โลก ซึ่งจะเป็นแส่งที่เพิ่มความสว่างไสว ให้แก่
ความสว่างที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้ ท่านจึงตั้งชื่อบุตรสาวว่า "กลารา" แปลว่า "ความสว่าง"
และท่านก็ได้เป็นความสว่างสมดังชื่อ ท่านรักษาพรหมจรรย์บริสุทธิ์ยิ่งในดวงใจ
อ่อนวัยในอายุ แต่เจริญขึ้นในวุฒิภาวะทางปรีชาดำระ เต็มด้วยปรีชาญาณ และความ
สุภาพถ่อมตน กระตือรือล้นในความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์
ในเวลานั้น ขณะที่คณะของภราดาน้อยผู้ต่ำต้อยของนักบุญฟรังซิส ได้วางรากเป็น
คณะแล้ว นับเป็นเวลา 6 ปี หลังจากการกลับใจของท่านฟรังซิสเอง นักบุญกลาราก็ได้ มีอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เหมาะสมแล้วที่จะสร้างครอบครัว (ในสมัยนั้น)บรรดาญาติก็ได้
พยายามจัดหาคู่ครองให้ท่าน แต่ท่านไม่ได้สนใจและกลับผลัดผ่อนเรื่อยมา เพราะท่าน
ได้มอบตัวเองทั้งครบแต่พระเจ้าแล้ว
ดังที่ได้กล่าวแล้วว