The purpose of this research was to

The purpose of this research was to study knowledge practice in the care of hypertension patients in the district be responsible of banpheahpattana sub districts health promoting hospital, khueanphak sub district, phrao district, chiang mai provice. And to study the relationship between knowledge about hypertension with practice in the care of hypertension patients amount 360 people. The sampling systematically and have sample amount 186 people. The data were collected by questionnaire the statistics used in the study for example Percentage, Mean, Standard deviation, Median, Maximum-Minimum and Pearson correlation.
The results showed that the samples mostly patient behavior was good the average maximum performance is to get the meet date and time of follow up (mean = 3.69) the last patient hypertension with the minimum average is no exercise to force types contracting the muscles for shoulder, lifting heavy (mean = 2.81). According to a study relationship between knowledge practices in the care of hypertension patients found that there was no correlation with the level of statistical significance (p-value > 0.05)
So according to a study should therefore officer guide and off track more too proactively by the involvement of the community for example give broadcast tower. Educating the caregivers’ especially family members etc. Volunteer public health in the area of responsible stimulate consistently.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เป็นการ เรียนรู้ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในเขตรับผิดชอบของ banpheahpattana ย่อยเขตสุขภาพส่งเสริมโรงพยาบาล khueanphak อำเภอ อำเภอพร้าว เชียงใหม่ provice และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงมีแนวทางปฏิบัติในการดูแลคุณแม่หลังคลอด ผู้ป่วยจำนวน 360 คน การสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบ และมีตัวอย่างจำนวน 186 คน ข้อมูลถูกรวบรวมตามแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการศึกษาเช่นเปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า มัธยฐาน สูงสุดต่ำสุดและสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมผู้ป่วยส่วนใหญ่ตัวอย่างดีประสิทธิภาพสูงสุดโดยเฉลี่ยจะได้พบปะวันและเวลาตามค่า (หมายถึง = 3.69) ความดันโลหิตผู้ป่วยล่าสุด มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ไม่ออกกำลังกายเพื่อบังคับให้ชนิดสัญญากล้ามเนื้อสำหรับสะพาย ยกของหนัก (หมายถึง = 2.81) ตามการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้แนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงพบว่า มีความสัมพันธ์ไม่มีระดับนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า p > 0.05) ดังนั้นตามการศึกษาควรดังนั้นเจ้าหน้าที่แนะนำ และออกติดตามเพิ่มเติมเกินไปวันนี้ โดยมีส่วนร่วมของชุมชนเช่นให้ทาวเวอร์ออกอากาศ ให้เรื้อรังโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวฯลฯ อาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้การปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในเขตพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบของตำบล banpheahpattana ส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาล, khueanphak ตำบลอำเภอพร้าวจังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงมีการปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 360 คน การสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบและมีจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 186 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการศึกษาตัวอย่างร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเฉลี่ยสูงสุดต่ำสุดและความสัมพันธ์เพียร์สัน.
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่จะได้รับการตอบสนอง วันที่และเวลาของการติดตาม (ค่าเฉลี่ย = 3.69) ความดันโลหิตสูงผู้ป่วยก่อนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการออกกำลังกายที่ไม่มีการบังคับชนิดเกร็งกล้ามเนื้อไหล่สำหรับยกของหนัก (ค่าเฉลี่ย = 2.81) ตามการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติความรู้ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p-value> 0.05)
ดังนั้นตามการศึกษาจึงควรแนะนำและเจ้าหน้าที่ออกติดตามมากขึ้นมากเกินไปในเชิงรุกด้วย มีส่วนร่วมของชุมชนเช่นให้ออกอากาศหอ การให้ความรู้ผู้ดูแลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกในครอบครัว ฯลฯ อาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบของการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบัติ ความรู้ในการดูแลของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล banpheahpattana ย่อย , ย่อย khueanphak เขตอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ . และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ด้วยการฝึกปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 360 คนการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบและมีตัวอย่าง จำนวน 186 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน เช่น ต่ำสุด สูงสุด .
ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ จำนวน ดี ประสิทธิภาพสูงสุดเฉลี่ยที่จะได้รับตามวันที่และเวลาที่ติดตาม ( ค่าเฉลี่ย = 369 ) ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง สุดท้าย กับ เฉลี่ยต่ำสุดคือการไม่ออกกำลังกายเพื่อบังคับประเภทสัญญากล้ามเนื้อหัวไหล่ ยกหนัก ( ค่าเฉลี่ย = 2.81 ) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับนัยสำคัญ ( p-value > 0.05 )
ดังนั้นการศึกษาจึงควรนำเจ้าหน้าที่ออกติดตามด้วย ในเชิงรุก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น ให้ถ่ายทอด ทาวเวอร์ ความรู้ของผู้ดูแลโดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ฯลฯ อาสาสมัครสาธารณสุข ในพื้นที่ความรับผิดชอบ กระตุ้นอย่างต่อเนื่อง