ในยุคกลาง ชาวอาหรับได้คิดค้นและพัฒนาเทคนิคในการกลั่นน้ำหอม และพบดอกกุหลาบจำนวนมากในพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ของอาณาจักรเปอร์เซีย เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นน้ำหอม นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบส่วนผสมตัวใหม่ในการทำน้ำหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่นของชะมด และได้นำไปผสมกับปูนขาว จากนั้นพวกเขาก็นำปูนขาวที่ผสมกลิ่นชะมดไปใช้สร้างสุเหร่าและพระราชวัง ซึ่งทำให้สุเหร่าและพระราชวังที่สร้างขึ้นมีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง
"การดมกลิ่นและผลิตน้ำหอม" เริ่มตั้งแต่ในยุคสมัย โสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ (Mesopotamia, Egypt) ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อในยุคของโรมันและเปอร์เซีย (Romans, Persians)
นักเคมีจากเปอร์เซียอิบันไน ได้แนะนำกระบวกการแบบโบราณของการแยกน้ำมันจากดอกไม้โดยการกลั่น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้กันมากที่สุดจนถึงทุกวันนี้ เวลาที่ทำการกลั่นจะได้น้ำหอมที่มีส่วนของน้ำมันหอมละเหยที่รุนแรงเข้มข้น ซึ่งส่วนมากจะเริ่มจากดอกกุหลาบกัน การกลั่นจะแตกต่างกันตามเทคโนโลยีกันไปด้วย
จากนั้นนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่นต่าง ๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน