วันนี้จะมาเล่าที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ฟัง ไม่ได้จะมารีวิวอาหารช้อปปิ้งอะไรแบบคนอื่นเค้าหรอก อะไรแบบนั้นน่าจะมีเยอะเราไม่ต้องมารีวิวอะไรเพิ่มอีกแล้ว แต่สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการไปทริปครั้งนี้เลยก็คือคน ใช่แหละ คนที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นกันเอง สุภาพ มีระเบียบ (ห้ามเอากีฬามาเกี่ยวเด็ดขาด!!) สิ่งที่เราเจอก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เคยได้ยินมา เราเจอปัญหาตลอดตั้งแต่นาทีแรกที่เข้าไปในประเทศเขา เราผ่านทุกอย่างมาได้เพราะคนที่นั่นเค้าพยายามอย่างมากที่จะช่วยเราจริงๆ แม้ว่าบางคนจะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย แต่มีความประทับใจหนึ่งที่เป็นที่สุดของเรา ทำให้เราไม่สามารถลืมได้เลย
วันแรกที่เราไปถึงโอซาก้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เครื่องบินดีเลไปสี่ชม พอออกจากสนามบินฝนก็ตก เรามีกระเป๋าใบใหญ่สองใบกับเวลาในการเดินทางประมาณ ชมเดียว เราไม่รู้ว่าที่พักอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ารถไฟสายที่เรากำลังจะนั่งไปนี้มันถูกหรือเปล่า (ตั้งแต่อยู่มา 7 วันหลังทางในสถานีรถไฟทุกวัน) ในระหว่างที่เรากำลังรอรถไฟแล้วก้มลงอ่านแผนที่ของสถานีรถไฟ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝรั่งสำเนียงอเมริกันพูดขึ้นมาว่า
Bob: Sorry you need a help
เราเงยหน้าขึ้นมาเห็นชาวต่างชาติผู้ชายกับผู้หญิงเอเชียคนนึงที่ตอนแรกเราคิดว่าเค้าเป็นคนไทย
Me: oh excusme this line go to tsuruhashi right?
Bob: yep,we come to this line same same.you can go with us.
Me: oh really, thank you very thank you
จากนั้นก็คิดว่าทุกอย่างมันจะจบแค่นี้และเรา ก็จะไปถามคนอื่นต่อไปข้างหน้า
Bob: Sorry where are you form?
Me: i’m come form thailand.
Bob: oh, wow i like thailand.
จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟไปพร้อมเค้าแล้วเค้าก็ชวนคุยทั่วไปว่าเรามายังไงมากี่วันเที่ยวที่ไหนตามประสานักท่องเที่ยว บ๊อบเป็นคนอเมริกาส่วนซาวาโก๊ะเป็นคนญี่ปุ่น พักอยู่ห่างจากเราไปสามสถานี บ๊อบเป็นครูสอนภาษาอยู่ในมหาวิทยาลัย และมาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้20ปีแล้ว
จนถึงเวลาที่เราจะต้องลงจากขบวนเค้าถามเราขึ้นมาว่า
Bob: where is your hotel
Me: I don’t know.but i have a map.
sawako : let me see please
เราส่งแผนที่ให้เค้าดูแล้วเค้าหันไปคุยกันแปปนึงจากนั้นก็หันมาบอกเราว่า
Sawako: Ok,we will help you find the hotel.
เรากับเท็นเกรงใจเค้ามาก รีบบอกเลยว่าไม่เป็นไรเราไปเองได้ เค้าก็บอกว่าเค้าเต็มใจจะช่วยแล้วเค้าก็ยินดีมากๆ
เรานี่คิดในใจเวรแล้ว กูจะพูดกับเขารู้เรื่องไหมวะ โควต้าภาษาไม่เหลือแล้ว หลังจากที่บ๊อบกับซาวาโกะออกมาจากสถานีทั้งๆที่ยังไม่ถึงที่ที่เค้าจะลง ซาวาโก๊ะเดินเขาเข้ามาบอกเราประโยคนึงว่า
Sawako : don’t worry .we so pond to do. be cause when we go to thailand we impression when people help us.
เรารู้สึกอยากจะพูดกับเค้าเยอะมาก แต่พูดไม่ออกเพราะคิดคำไม่ออกเลยนอกจากคำว่า แต้งกิ้ว จากนั้นพวกเราก็เดินไปหาโรงแรมที่อยู่ในแผนที่จากที่คิดไว้ว่ามันไม่น่ายาก(เหมือนทุกครั้ง) แต่ในความเป็นจริงมันยากมาก(เหมือนทุกครั้ง) เพราะโรงแรมที่เราอยู่มันไกลจากสถานีมาก มากจนเราคิดว่ากำลังหลงทาง เค้าก็เอาบ้านเลขที่ไปหาๆให้เรา จนเราก็มาถึงที่พักโดยใช้เวลาประมาณ20นาที กับระยะทางอีกเกือบ 2กิโลในวันที่ฝนกำลังตก ในเวลาห้าทุ่มกว่าๆ ซึ่งที่ญี่ปุ่นสถานีรถไฟจะปิดตอนเที่ยงคืน นั่นก็หมายความว่าเค้าจะต้องรีบเดินทางกลับไปที่สถานีภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที เราได้ถ่ายรูปด้วยกันเป็นครั้งแรก แลกเบอและเฟสบุ๊คที่เอาไว้ติดต่อกัน เค้าให้ร่มมาหนึ่งคันพร้อมกับพูดว่า
Bob: japan come to rain season.this is welcome osaka gift.
เราบอกลากันโดยพูดว่า หวังว่าคงจะได้เจอกันอีก เราไม่คิดเลยว่ามันจะมีอีกครั้งจริงๆ
เช้าวันต่อมาเราไลน์ไปขอบคุณเค้าถึงเรื่องเมื่อคืน เล่าเรื่องที่พักให้เค้าฟัง แล้วก็เราว่าวันนี้เราจะไปทำอะไรๆบ้าง
เค้าตอบกลับมาว่า
Sawako : We would love to have lunch together. We can meet around the noon if you want. Please let us know.
เราคิดหนักมากว่าทำไมเค้าถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมเค้าถึงดีกับเราจัง ทำไมเค้าถึงอยากไปกินข้าวกับเรา มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เค้าต้องทำแบบนี้ จากนั้นเราก็ได้ไปกินข้าวด้วยกันมื้อแรกที่ที่นึงซึ่งเราประทับใจมาก แบบจะร้องไห้เลยจริงๆ นั่นคือบุฟเฟ่อาหารไทยที่รสชาติไท๊ยไทย เราชอบที่นี่มาก แค่กระเพราะไก่ในเวลานั้นคือโคตรมีค่าสำหรับเรามาก คือถ้าใครมีปัญหากับการกินอาหารญี่ปุ่นหลายๆวันคงจะเข้าใจ มันเอียนจนเรากินอะไรไม่ลงแม้กระทั้งตอนที่เราหิวมากๆ ทุกอย่างมันจะวนแค่ ข้าวหน้าเนื้อ ราเมง ข้าวแกงกระหรี่ ซูชิ แล้วก็วนมาที่ข้าวหน้าเนื้อ ไม่ก็จะมีแต่แนวๆนี้ที่เราจะเลือกกินได้ สามวันที่เหลือหลังจากนั้นก็มาร้านนี้ทุกวันราคาไม่แพง ดีงามมาก
บ๊อบเล่าว่าเค้าเคยมาอยู่เมืองไทยเป็นเวลา 1 เดือนที่พงัน เค้าชอบเมืองไทยมาก เค้าชอบทะเล ถ้ามีโอกาสเค้าอยากกลับไปอีก
หลังจากกินข้าวเสร็จซาวาโก๊ะก็แยกไปทำงาน
ส่วนบ๊อบพาเราไปเดินที่ที่นึง ซึ่งถ้ามากันเองเราคงหาที่นี่ไม่เจอแน่ คือตลาด Americamoda เป็นตลาดวัยรุ่นๆหน่อย ขายของมือสองส่วนใหญ่ เราก็เดินที่นี่กันทั้งวันและเค้าก็เดินไปกับเราโดยที่ไม่บ่นสักคำ เค้าช่วยเราหาร้าน คุยกับคนขาย สแกนราคา ยืนรอเราซื้อของ ถ่ายรูปให้พวกเรา เราเกิดคำถามอีกครั้งว่า เค้าทำแบบนี้เพื่ออะไรน้า ทำแล้วเค้าได้อะไร หลังจากที่แยกกันไปเค้าชวนเราไปที่ที่นึงในวันต่อไป ใจนึงก็ไม่อยากไปเพราะที่ที่เค้าะพาไปคือนารา วัดโบราญ ซึ่งเราสองคนไม่ใช่สายธรรมชาติเลย เรามาญี่ปุ่นนี่เตรียมมาช้อปปิ้งเต็มที่มาก ไม่มีโปรแกรมไหว้เพราะ ชมดอกไม้ ภูเขาไฟฟูจิหรืออะไรทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าปฏิเสธเพระเค้าดูอยากให้เราไปมากจริงๆ
วันรุ่งขึ้น บ๊อบพาเราออกเดินทางไปนารา พอไปถึงต้องเดินไกลมากกว่าจะเจอวัด คือนาราเนี่ยอารมแบบเมืองนึงซึ่งมีวัดหลายวัดรวมกัน แล้ววันที่เค้าจะพาไปเป็นแค่ 1 วัดในเมืองนั้นเพราะเรามีเวลาเท่านั้นทีแรกก็คงคิดว่าไม่น่านาน เพราะเราสองคนอย่างที่บอก ไ