1. การปลูกหม่อนไหมเลี้ยงไหมที่ภูสิงห์
ความเป็นมา
ในปี พ.ศ. 2549 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ร่วมกับจังหวัดศรีสะเกษ ได้ขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยศาลา บริเวณบ้านตะแบงและบ้านโคกใหญ่ อำเภอภูสิงห์(ในขณะนั้น สองบ้านนี้ขึ้นอยู่กับอำเภอขุขันธ์เป็นชายแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา) เพื่อจัดตั้งระบบผลิตพลังงานแก็สชีวมวลในชนบท จำนวนประมาณ 4,000 ไร่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพราษฎรเป็นระยะเวลา 30 ปี ซึ่งต่อมากรมป่าไม้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ในปี 2532 แต่โครงการดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากติดปัญหาต่าง ๆ มากมาย ต่อมาในปี 2533 กองกำลังสุรนารีได้จัดตั้งศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพช่วยเหลือราษฎรบริเวณชายแดน โดยดำเนินกิจกรรมพัฒนาแบบรวมกิจกรรมทุกสาขา ให้เป็นแหล่งสาธิต บริการพัฒนาอาชีพช่วยเหลือราษฎร และด้านฝึกอบรมราษฎร โดยดำเนินกิจกรรมตามรูปแบบและเค้าโครงของศูนย์พัฒนาโนนดินแดง โครงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรที่กิ่งอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 และมีพระราชดำริกับข้าราชการที่เฝ้าฯ รับเสด็จ สรุปความว่า ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันจัดตั้ง “ศูนย์พัฒนาการเกษตรแบบเบ็ดเสร็จ” ในลักษณะเป็นศูนย์สาธิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ซึ่งประกอบอาชีพทำนาไม่ได้ผลและให้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดำเนินงานศูนย์ฯ ในลักษณะเช่นเดียวกับศูนย์พัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์จึงได้ถูกพัฒนาเป็นศูนย์แม่บทและเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชาติ การบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างความมั่นคงของชาติในปัจจุบันกำลังดำเนินกิจกรรมในแผนแม่บทระยะที่ 2 (ปี 2545-2549)
หลังจากทางจังหวัดได้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ก็เริ่มดำเนินการนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้ามาดำเนินการจัดทำแปลงสาธิต ฝึกอบรมเกษตรในหมู่บ้านรอบศูนย์
อาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม นับเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับชาวไทยอีสานมาแต่ครั้งบรรพกาลสืบต่อกันมาถึงยุคปัจจุบัน จนมีลวดลายบนผืนผ้าต่าง ๆ นับเป็นร้อย ๆ ลวดลาย จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดหนึ่งที่ราษฎรมีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมีพื้นที่ปลูกหม่อน 11,163 ไร่ มีเกษตรกรปลุกหม่อนเลี้ยงไหม 14,989 ครัวเรือน สามารถผลิตเส้นไหมได้ 39,524 กิโลกรัม/ปีและอำเภอภูสิงห์เป็นอำเภอที่ราษฎรมีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมากอำเภอหนึ่งของขจังหวัด ารปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของเกษตรกรก่อนที่จะมีโครงการฯอยู่ในสภาพล้าหลัง ให้ผลผลิตไหมต่ำ รังเล็ก หนอนไหมมักตายเป็นประจำ และปลูกหม่อนพันธุ์พื้นเมืองที่ให้ผลผลิตใบต่ำโครงการฯ โดยศูนย์วิจัยหม่อนไหมศรีสะเกษจึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร
การดำเนินกิจกรรมปลูกหม่อนเลี้ยงไหม
ศูนย์วิจัยหม่อนไหมศรีสะเกษ ได้เข้ามาวางแผนดำเนินการและปรับสภาพพื้นที่เมื่อ 19 มิถุนายน 2538 และปลูกหม่อนเพื่อเป็นแปลงสาธิตการปลูกหม่อนพันธุ์ดีและการปลูกที่ถูกวิธีเมื่อ 8 สิงหาคม 2538 ในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ โดยใช้หม่อน 4 พันธุ์ คือนครราชสีมา 60 บุรีรัมย์ 60 ศรีสะเกษ 33 และ ศก.2820 แต่พื้นที่บางส่วนมีสภาพเป็นซับทำให้หม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 และศก.2802 ตายหมดในปี 2541 ได้แก้ไขสภาพน้ำซับ โดยการขุดคูระบายน้ำรอบแปลงหม่อน และปลูกหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์ 60 และพันธุ์ศรีสะเกษ 33 จนเต็มพื้นที่ 8 ไร่ และในปี 2539 ได้ก่อสร้างโรงเลี้ยงไหมวัยอ่อนสาธิต ขนาด 6x8 เมตร โดยใช้วัสดุในท้องถิ่นแก่เกษตรกรในหมู่บ้านรอบโครงการฯ และผู้สนใจทั่วไป เพื่อแจกจ่ายไหมวัยอ่อนแก่เกษตรกรสมาชิก
การขยายผลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสู่หมู่บ้านรอบโครงการฯ
หลังจากได้สร้างสวนหม่อนและโรงเลี้ยงไหมวัยอ่อนสาธิตแก่เกษตรกรและผู้สนใจ ทั่วไปภายในโครงการฯแล้วในปี 2540 ได้เริ่มรับสมัครเกษตรกรสมาชิกปีละประมาณ 10 รายในหมู่บ้านรอบโครงการฯ ได้แก่ บ้านภูสิงห์ บ้านทุ่งหลวง บ้านตะแบง หมู่ 1 หมู่ 9 หมู่ 12 และหมู่ 18 และให้การสนับสนุนหม่อนพันธุ์ดี คือพันธุ์บุรีรัมย์ 60 และศรีสะเกษ 33 ในปีต่อ ๆ มาได้ให้การสนับสนุนหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์ 51 เท่านั้น เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ท่อนพันธุ์ออกรากง่ายจึงเป็นที่นิยมของเกษตรกรนำไปปลูกขยายผลแก่สมาชิกที่ต้องการเพิ่มเติมในด้านพันธุ์ไหมได้ให้มีการสนับสนุนพันธุ์ไหมไทยพื้นเมืองปรับปรุง คือ พันธุ์นางน้อยศรีสะเกษ 1 x นค. 4 โดยให้เกษตรกรสมาชิกมาร่วมกันเลี้ยงที่ โรงเลี้ยงสาธิตภายในโครงการฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ คอยให้คำแนะนำเทคนิคการเลี้ยงบางประการเป็นการพัฒนาทักษะการเลี้ยงไหมให้แก่เกษตรกรจนไหมเข้าสู่วันที่ 4 จึงแบ่งกันนำไปเลี้ยงที่บ้าน และเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้เข้าไปให้คำแนะนำต่อที่บ้านจนไหมสุกทำรัง หรือเกษตรกรบางรายมีภารกิจภายในครอบครัวไม่สามารถมาร่วมเลี้ยงไหมวันอ่อนได้จะให่ไหมแรกฟักนำกลับไปเลี้ยงที่บ้าน โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ คอยติดตามให้คำแนะนำจนไหมสุกทำรัง ในแต่ละปีจะสนับสนุนพันธุ์ไหมให้เกษตรกรสมาชิกเลี้ยงปีละ 5-6 รุ่น จึงถึงปัจจุบันมีสมาชิกในโครงการฯ แล้ว 50 รายรวมพื้นที่ปลูกหม่อนประมาณ 50 ไร่ ในความเป็นจริงมีเกษตรกรจะขอเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก แต่ทางโครงการฯ ไม่สามารถรับได้ทั้งหมดผลการขยายผลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสู่หมู่บ้านเกษตรกรรอบโครงการฯ จากการดำเนินกิจกรรมการขยายผลการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา จนถึงปี 2546 เกษตรกรสมาชิกมีความพึงพอใจในอาชีพเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากอดีตที่ทำนาเพียงอย่างเดียว ในสภาพรวมของโครงการฯ นับตั้งแต่ปี 2540-2546 เกษตรกรสมาชิกถ้าจำหน่ายรังไหมทั้งหมดจะมีรายได้ทั้งสิ้นถึง 726,980 บาท
จากการได้พบและสัมภาษณ์เกษตรกรสมาชิกบางรายดังเช่น นางโฮม จำปาเต็ม บ้านภูสิงห์ได้ยอมรับว่าโครงการนี้ได้สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวอย่างต่อเนื่อง และในบางปีเช่นปี 2541 ได้เกิดวิกฤติฝนแล้งทำนาไม่ได้ผล ไม่มีข้าวจะกิน ก็ได้อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสร้างรายได้นำไปซื้