Table 2 shows that the majority of

Table 2 shows that the majority of the subjects (62.8%) had
good oral hygiene status, more than a third (37.2%) had fair
oral hygiene and none of the orthodontic patients had poor oral
hygiene. There was no statistically significant gender differences
in the distribution of oral hygiene status (P>0.05) among the
subjects. The mean oral hygiene index, debris index and calculus
index were slightly higher among the males than females but
statistically insignificant (P>0.05) as shown in Table 3.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตารางที่ 2 แสดงว่า มีส่วนใหญ่ของเรื่อง (ร้อยละ 62.8)สถานะสุขภาพช่องปากที่ดี มากขึ้นกว่าที่สาม (37.2%) ได้ดีสุขภาพช่องปากและผู้ป่วยเดย์ไม่มีปากดีอนามัย มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเพศไม่ในการกระจายสถานะสุขภาพช่องปาก (P > 0.05) ระหว่างการเรื่อง ดัชนีสุขภาพช่องปากหมายถึง เศษดัชนี และแคลคูลัสดัชนีสูงขึ้นเล็กน้อยระหว่างชายมากกว่าหญิง แต่สำคัญทางสถิติ (P > 0.05) ดังแสดงในตาราง 3

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง (62.8%) มี
สถานะสุขอนามัยช่องปากที่ดีกว่าหนึ่งในสาม (37.2%) มีความยุติธรรม
สุขภาพช่องปากและไม่มีผู้ป่วยทันตกรรมจัดฟันในช่องปากไม่ดีมี
สุขอนามัย ไม่มีความแตกต่างทางเพศอย่างมีนัยสำคัญ
ในการกระจายของสถานะสุขภาพช่องปาก (P> 0.05) ในกลุ่ม
อาสาสมัคร ค่าเฉลี่ยดัชนีสุขอนามัยช่องปากดัชนีเศษและแคลคูลัส
ดัชนีได้สูงในหมู่เพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่
ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P> 0.05) ดังแสดงในตารางที่ 3

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง ( 62.8 % )
ดีอนามัยช่องปากสภาพ มากกว่าหนึ่งในสาม ( 37.2% ) ยุติธรรม
สุขภาพช่องปากและไม่มีผู้ป่วยทางทันตกรรมจัดฟันที่มีอนามัยช่องปาก
ที่น่าสงสาร ไม่มีความแตกต่างกันทางเพศ
ในการกระจายตัวของสถานะสุขภาพช่องปาก ( P > 0.05 ) ระหว่าง
วิชา หมายถึงสุขภาพช่องปากดัชนี , ดัชนี debris และแคลคูลัส
ดัชนีสูงขึ้นเล็กน้อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิงแต่
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p < 0.05 ) ดังแสดงในตารางที่ 3