Rubies have a hardness of 9.0 on th

Rubies have a hardness of 9.0 on the Mohs scale of mineral hardness. Among the natural gems only moissanite and diamond are harder, with diamond having a Mohs hardness of 10.0 and moissanite falling somewhere in between corundum (ruby) and diamond in hardness. Ruby is α-alumina (the most stable form of Al2O3) in which a small fraction of the aluminum3+ ions are replaced by chromium3+ ions. Each Cr3+ is surrounded octahedrally by six O2− ions. This crystallographic arrangement strongly affects each Cr3+, resulting in light absorption in the yellow-green region of the spectrum and thus in the red color of the gem. When yellow-green light is absorbed by Cr3+, it is re-emitted as red luminescence. This red emission adds to the red color perceived by the subtraction of green and violet light from white light, and adds luster to the gem's appearance. When the optical arrangement is such that the emission is stimulated by 694-nanometer photons reflecting back and forth between two mirrors, the emission grows strongly in intensity. This effect was used by Theodore Maiman in 1960 to make the first successful laser, based on ruby.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ทับทิมมีความแข็งของ 9.0 บนสเกลของโมส์ ระหว่างอัญมณีธรรมชาติ เฉพาะ moissanite และเพชรได้ยาก มีความแข็งโมห์สเป็น 10.0 และ moissanite ตกที่ใดที่หนึ่งระหว่างคอรันดัม (ทับทิม) เพชรและเพชรในความแข็ง รูบี้ด้วยกองทัพอลูมินา (มีเสถียรภาพมากที่สุดรูปแบบของ Al2O3) ในส่วนเล็ก ๆ ของประจุ aluminum3 + ถูกแทนที่ โดย chromium3 + ประจุได้ Cr3 ละ + อยู่ท่ามกลาง octahedrally หก O2− กัน จัดนี้ crystallographic อย่างยิ่งมีผลกระทบต่อแต่ละ Cr3 + เกิดขึ้นในการดูดซับแสง ในภูมิภาคของคลื่นสีเหลืองอมเขียว และสีแดงของพลอย เมื่อถูกดูดแสงสีเหลืองอมเขียว โดย Cr3 + จะ emitted ใหม่เป็น luminescence สีแดง ปล่อยก๊าซนี้แดงเพิ่มสีแดงโดยลบของสีเขียวและม่วงแสงจากแสงสีขาว และเพิ่มมันวาวลักษณะของพลอย เมื่อจัดแสงคือการปล่อยก๊าซจะถูกกระตุ้น โดย photons 694 nanometer สะท้อนกลับและระหว่างกระจกสอง มลพิษที่เติบโตอย่างยิ่งความเข้ม ลักษณะพิเศษนี้ถูกใช้ โดยธีโอดอร์ Maiman ใน 1960 เพื่อให้เลเซอร์สำเร็จแรก ตามรู

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทับทิมมีความแข็งของ 9.0 บนสเกลของโมส์ ในบรรดาอัญมณีธรรมชาติเท่านั้น moissanite เพชรยากด้วยเพชรที่มีความแข็งและ moissanite 10.0 ลดลงบางแห่งในระหว่างคอรันดัม (ทับทิม) และเพชรในความแข็ง ทับทิมเป็นαอะลูมินา (รูปแบบที่มีเสถียรภาพมากที่สุดของ Al2O3) ซึ่งในส่วนเล็ก ๆ ของไอออน aluminum3 + จะถูกแทนที่ด้วย chromium3 + ไอออน แต่ละ Cr3 + ล้อมรอบ octahedrally หก O2- ที่ นี้จัดอย่างยิ่งที่มีผลกระทบต่อ crystallographic แต่ละ Cr3 + ผลในการดูดกลืนแสงในภูมิภาคสีเหลืองสีเขียวของสเปกตรัมและทำให้ในสีแดงของอัญมณี เมื่อแสงสีเหลืองสีเขียวถูกดูดซึมโดย Cr3 + ก็เป็นอีกครั้งที่ปล่อยออกมาเป็นสีแดงเรืองแสง นี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสีแดงกับสีแดงที่รับรู้โดยการลบของแสงสีเขียวและสีม่วงจากแสงสีขาวและเพิ่มความมันวาวกับการปรากฏตัวของอัญมณี เมื่อการจัดแสงเป็นเช่นที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกกระตุ้นโดยโฟตอน 694 นาโนเมตรสะท้อนกลับไปมาระหว่างสองกระจกปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เติบโตขึ้นอย่างมากในความรุนแรง ผลกระทบนี้จะถูกใช้โดยทีโอดอร์ Maiman ในปี 1960 ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จครั้งแรกของเลเซอร์บนพื้นฐานของทับทิม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทับทิมมีความแข็ง 9.0 ในระดับ Mohs ของความแข็งของแร่ ท่ามกลางธรรมชาติอัญมณีเพชร Moissanite เท่านั้น และหนัก กับ เพชรมีความแข็งของโมส์ 8.8 และ moissanite ตกบางแห่งในระหว่างคอรันดัม ( ทับทิม ) และ เพชร ในความแข็งแรง ทับทิมเป็นแอลฟา อะ ( รูปที่เสถียรที่สุดของ Al2O3 ) ซึ่งในส่วนเล็ก ๆของ aluminum3 ไอออนจะถูกแทนที่ด้วยไอออน chromium3 .ในทางเคมี รายล้อม octahedrally 6 O2 −ไอออน นัดนี้ขอต่อทางแต่ละทางเคมีที่เกิดในการดูดกลืนแสงในพื้นที่สีเขียวสีเหลืองของสเปกตรัมและดังนั้น ในสีแดงของพลอย เมื่อไฟสีเขียว สีเหลือง จะถูกดูดซึมโดยทางเคมี มันจะออกมาเป็นเรืองแสงสีแดงมลพิษสีแดงนี้เพื่อเพิ่มการรับรู้โดยการลบสีสีแดงสีเขียวและม่วงอ่อนจากแสงสีขาว และเพิ่มความมันวาวให้ลักษณะที่ปรากฏของอัญมณี เมื่อจัดแสงซึ่งถูกกระตุ้นโดยการปล่อยโฟตอน 694 นาโนเมตร สะท้อนไปมาระหว่างสองกระจก , การเติบโตอย่างมากในความเข้มผลนี้ถูกใช้โดย ทีโอดอร์ ไมแมนในปี 1960 เพื่อให้เลเซอร์แรกที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับทับทิม