นับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน และพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2493 ล่วงเลยมาตราบถึงวันนี้ แม้จะมีพระชนมพรรษาย่าง 84 พรรษาแล้วก็ตาม อีกทั้งยังทรงพระประชวรอยู่ต้องประทับรักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราชมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ทว่า ในพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านก็ยังมีแต่พสกนิกรชาวไทยอย่างแท้จริง ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชนทุกคน มิต่างจากทุกข์สุขของพระองค์เอง และทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อทรงคลายร้อนผ่อนลำเค็ญ นำพาความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ สมกับที่ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก และทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระมหากษัตริย์ ผู้เพียบพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม
"พระเจ้าอยู่หัวยังต้องเหนื่อยต้องลำบากทุกวันนี้ เพราะว่าประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อประชาชนยากจนแล้ว อิสรภาพเขาจึงไม่มี และเมื่อเขาไม่มีอิสรภาพ เขาก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้"
พระราชดำรัสดังกล่าวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง และคงไม่เกินเลยไปหากจะกล่าวว่า ในบรรดาสถาบันกษัตริย์ที่มีอยู่ทั่วโลกนั้น ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดจะทรงงานให้กับประชาชนเท่ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพระองค์ในสถานะผู้ให้บริการรับใช้ประชาชน ถึงแม้ว่าจะทรงเป็นประมุขของประเทศ
"การปลูกฝังของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนตลอดว่า ถ้าไม่มีประชาชนก็ไม่มีพวกเรา เราเกิดมาได้เป็นเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน คนเขาเคารพนับถือ ท่านสอนอย่างนี้เสมอ...ข้าพเจ้าก็ทุ่มสุดตัวที่จะทำ สำหรับประเทศไทย อะไรที่ดีกับไทยก็ทำ อยากให้ทุกท่านคิดเหมือนกันว่า อะไรที่ดีที่สุด สำหรับแผ่นดินแม่ เราก็ควรทำ ถ้าไม่มีแผ่นดินไทย ไทยล่มสลาย จะไม่มีใครมีความสุขได้เลย"...พระดำรัสดังกล่าวของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี คงพอจะเตือนสติคนไทยได้บ้างว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเหนื่อยหนักมาตลอดพระชนม์ชีพแล้ว ถึงเวลาหรือยังที่ประชาชนอย่างพวกเราจะช่วยแบ่งเบาพระราชภาระอันหนักอึ้ง ด้วยการรู้รักสามัคคีกันเพื่อแผ่นดินไทย.