“To watch his work is like being wi

“To watch his work is like being witness to the beginning of melody, or the first conscious use of the lever or the wheel; the emergence, coordination, and first eloquence of language; the birth of an art: and to realize that this is all the work of one man.” – James Agee

Lillian Gish called him “the father of film” and Charlie Chaplin called him “the teacher of us all.” At the pinnacle of his worldwide prominence, D.W. Griffith screened his films for the urban working-class as well as for presidents at the White House. Griffith’s films became part of history in the making—unleashing the power of movies as a catalyst for social change. More than anyone of the silent era, he saw film’s potential as an expressive medium, and exploited that potential.

The man who would become America’s most famous mythmaker was born in 1875 on a poor Kentucky farm. Griffith’s father, a former Confederate officer wounded during the Civil War, died when Griffith was just ten. A quiet boy given to reading, Griffith had little formal education, but spent much of his free time in the library. As a young man he was determined to become a playwright and left home to learn his craft as an actor. For twelve years he crisscrossed the country, acting in minor productions, learning how to tell a story and how to sell it.

Griffith played a number of roles as an actor before agreeing to move behind the camera as a director at the Biograph Company. During his five years at Biograph, Griffith took the raw elements of moviemaking as they had evolved up to that time — lighting, continuity, editing, acting — and wrought a medium of extraordinary power and nuance. Early short films such as A CORNER IN WHEAT (1909), FIGHTING BLOOD (1911), and UNDER BURNING SKIES (1912) show the hallmarks of Griffith’s style already emerging: crosscut editing to build tension, acute observation of details to heighten reality, and the use of the camera as a vehicle for expounding his views on society. Determined to get beyond the short format films, he left Biograph and began working on what would be his most famous production.

Made in 1915, BIRTH OF A NATION was the first masterpiece of cinema, bringing to film the status accorded to the visual and performing arts. A story of the Civil War, BIRTH OF A NATION captured the violence, the spectacle, and the excitement of the war. Using extreme and dramatic camera angles and complexly interweaved edits, the film brought an event to life unlike any film had done before. The film, however beautiful, was a sad testament to the deep prejudice of the times and black audiences were outraged by the racist distortion of history. Viewed as a contributor to the rise of the Ku Klux Klan, the film caused riots in a number of black communities.

Griffith’s next film, INTOLERANCE (1916) was, paradoxically, a plea for brotherhood and understanding as well as a polemic against the radical social reformers who had demanded that THE BIRTH OF A NATION be censored. The film marked a new standard in film spectacle and in narrative complexity, intertwining four separate stories from four different historical eras. Following INTOLERANCE with BROKEN BLOSSOMS (1919) and WAY DOWN EAST (1920) Griffith solidified his reputation as America’s preeminent director. He continued to reinvent the language of film, astounding people with epic stories, simultaneous narratives, sophisticated set design, and extensive traveling shows which accompanied his films city to city.

BROKEN BLOSSOMS was the story of a tender love between a Chinese man and a young girl with a brutish and bigoted father. The beautiful and emotionally explosive film was the first from Griffith’s new production company, formed that same year. The company, United Artists, brought Griffith together with the three greatest performers of the day; Douglas Fairbanks, Charlie Chaplin, and Mary Pickford. Griffith would spend the next ten years making films with United Artists and Paramount, but would never again reach the fame of THE BIRTH OF A NATION or INTOLERANCE.

As the 1920s roared on, Griffith’s films seemed more and more old-fashioned, and no longer appealed to the younger audiences. A Victorian storyteller, he had become temperamentally and artistically out of sync with his times. Though he had almost single-handedly invented the art of modern cinema, Griffith spent the last fifteen years of his life unable to find work. On July 23, 1948 he died in a small Los Angeles hotel. In the wake of his death and the coming of age of the movie industry, D.W. Griffith has taken his place in American cultural history as one of the greatest filmmakers of all time

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

"การดูงานของเขาเป็นเช่นเป็นพยานไปที่จุดเริ่มต้นของเมโลดี้ ใช้สติครั้งแรกของคันโยกหรือล้อ เกิดขึ้น ประสานงาน และ eloquence แรกของภาษา การเกิดของศิลปะ: และตระหนักว่า นี่คืองานทั้งหมดของคุณหนึ่ง " – James นักวิเคราะห์

Lillian Gish เรียกเขา"พ่อฟิล์ม" และชาร์ลีแชปลินเรียกเขา"ครูของเราทั้งหมด"ที่มุ่งความโดดเด่นของเขาทั่วโลก มหานคร D.W. Griffith ฉายของภาพยนตร์สำหรับเมือง working-class ด้วยกับประธานาธิบดีในทำเนียบขาว ฟิล์มของมหานคร Griffith ได้กลายเป็น ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในการทำซึ่งปลดปล่อยพลังงานของภาพยนตร์เป็น catalyst สำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคม มากกว่าคนยุคเงียบ เขาเห็นศักยภาพของภาพยนตร์เป็นสื่อแสดงออก และศักยภาพที่สามารถ

คนที่จะกลายเป็น mythmaker ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาเกิดใน 1875 ในฟาร์มเคนตั๊กกี้ไม่ดี พ่อของมหานคร Griffith การได้รับบาดเจ็บในระหว่างสงครามกลางเมือง เจ้าหน้าที่ของสหพันธ์อดีตตายเมื่อมหานคร Griffith เพียงสิบ เด็กเงียบให้อ่าน มหานคร Griffith ได้น้อยอย่างเป็นทางการศึกษา แต่ใช้จ่ายมากเวลาฟรีในไลบรารี เมื่อยังหนุ่ม เขาถูกกำหนดเป็น คุณและบ้านด้านซ้ายเรือของเขาเป็นนักเรียน สิบสองปีที่เขา crisscrossed ประเทศ ทำหน้าที่ในการผลิตรอง เรียนรู้วิธีการบอกเรื่องราวและวิธีการขายมัน

มหานคร Griffith เล่นหลายบทบาทเป็นนักแสดงก่อนย้ายหลังกล้องเป็นกรรมการใน บริษัท Biograph ภายใต้การ ในระหว่างห้าปีของเขาที่ Biograph มหานคร Griffith เอาองค์ประกอบวัตถุดิบของ moviemaking ที่มีพัฒนาขึ้นนั้น — แสง ความต่อเนื่อง แก้ไข ทำหน้าที่ — และ wrought กลางพิเศษและยกย่อง ช่วงสั้นภาพยนตร์เช่น A มุมในข้าวสาลี (1909), ต่อสู้เลือด (1911), และภายใต้การเขียนท้องฟ้า (ซาวน่า) แสดงจุดเด่นของสไตล์ของมหานคร Griffith แล้วเกิดใหม่: crosscut แก้ไขสร้างความตึงเครียด สังเกตดูอาการเฉียบพลันของการป็นจริง และการใช้กล้องเป็นพาหนะสำหรับการ expounding มุมมองของเขาในสังคม กำหนดจะได้รับนอกเหนือจากภาพยนตร์รูปแบบย่อ เขาซ้าย Biograph และเริ่มทำงานบนอะไรจะของเขามีชื่อเสียงมากที่สุดผลิต

ทำใน 1915 เกิดประเทศ A มีผลงานชิ้นแรกของภาพยนตร์ นำฟิล์มทรัพย์สถานะภาพและศิลปะ เรื่องราวของสงครามกลางเมือง ประเทศเกิด A จับภาพความรุนแรง น่าตื่นเต้น และความตื่นเต้นของสงคราม ใช้กล้องมาก และละครมุม และ complexly interweaved แก้ไข ทำฟิล์มที่นำเหตุการณ์ชีวิตแตกต่างจากฟิล์มก่อน ฟิล์ม อย่างไรก็ตามความสวยงาม มีพันธสัญญาอคติลึกเวลาเศร้า และดำชมได้ outraged โดยบิดเบือนเหยียดสีผิวของประวัติศาสตร์ ดูเป็นผู้บริจาคเพิ่มขึ้นของ Ku Klux คลาน ฟิล์มเกิดจลาจลในหลายชุมชนดำ

ฟิล์มถัดไปของมหานคร Griffith, INTOLERANCE (1916) ถูก paradoxically ข้าภราดรภาพ และความเข้าใจ รวมทั้ง polemic กับปฏิรูปสังคมรุนแรงที่มีแค่ว่า ที่เกิดของ A ในประเทศถูก censored ฟิล์มทำเครื่องหมายมาตรฐานใหม่ ในภาพยนตร์ปรากฏการณ์ และบรรยายความ ซับซ้อน สานเรื่องราวแยกสี่สี่ช่วงประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ต่อ INTOLERANCE เสียบลอสซั่ม (1919) และวิธีลงตะวันออก (1920) มหานคร Griffith หล่อชื่อเสียงของเขาเป็นของอเมริกาเป็นกรรมการ เขายังคงกลับภาษาของภาพยนตร์ ตระการตากับมหากาพย์เรื่อง พร้อม narratives ออกแบบชุดทันสมัย และการเดินทางอย่างละเอียดแสดงซึ่งมาพร้อมกับฟิล์มของเขาการเมือง

บลอสซั่มเสียเป็นเรื่องราวของความรักเงินระหว่างคนจีนและสาวที่ มีพ่อ brutish และฝ่าฝืน ฟิล์มสวยงาม และระเบิดอารมณ์ได้จากของมหานคร Griffith ใหม่บริษัทผู้ผลิต ก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน บริษัท ศิลปิน สหนำมหานคร Griffith พร้อมนักแสดงมากที่สุดสามวัน ดักลาสแฟร์แบงค์ ชาร์ลีแชปลิน และ Mary Pickford มหานคร Griffith เวลาถัดไปสิบปีทำให้มีศิลปินสหรัฐและพาราเม้าท์ แต่ครั้งจะถึงชื่อเสียงของการเกิดของ A ประชาชาติหรือ INTOLERANCE

เป็นปี 1920 ที่ roared บน ภาพยนตร์ของมหานคร Griffith ประจักษ์ มาก ขึ้นไม และอุทธรณ์ไปยังผู้ชมอายุไม่ Storyteller วิกตอเรีย เขาได้กลายเป็น temperamentally และให้บริการตรงกับเวลาของเขา แม้ว่าเขาได้คิดค้นศิลปะโรงภาพยนตร์ทันสมัยเกือบชัย มหานคร Griffith ใช้เวลาสิบห้าปีสุดท้ายของชีวิตของเขาไม่สามารถหางาน บน 23 กรกฎาคม 1948 เขาตายในโรงแรมลอสแอนเจลิส ในการปลุกของการตายและการกลับมาของยุคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ D.W. มหานคร Griffith ได้ของเขาเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอเมริกันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดของเวลาทั้งหมด

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

" ไปดูผลงานของเขาเหมือนเป็นพยานจุดเริ่มต้นของเมโลดี้หรือแรกมีสติใช้คันโยกหรือล้อ ; การเกิดขึ้น การประสานงาน และโวหารของภาษา ; ต้นกำเนิดของศิลปะ และตระหนักว่าทั้งหมดนี้คือผลงานของมนุษย์หนึ่ง . " ( เจมส์ เอจี่

ลิลเลียน กิชเรียกเขาว่า " บิดาของภาพยนตร์ " และชาร์ลี แชปลินเรียกเขาว่า " อาจารย์ของพวกเราทุกคน" ที่สำคัญมีชื่อเสียงทั่วโลกของเขา d.w. กริฟฟิธ ฉายภาพยนตร์ของเขาสำหรับการทำงานระดับเมือง เช่นเดียวกับประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว ภาพยนตร์กรีฟีสกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในการปล่อยพลังของภาพยนตร์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มากกว่าใครในยุคเงียบ เขาเห็นศักยภาพของภาพยนตร์เป็นสื่อที่แสดงออก และใช้ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น .

คนที่จะกลายเป็นของอเมริกาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดผู้สร้างตำนานเกิดใน 2418 ในรัฐเคนตั๊กกี้น่าสงสาร ฟาร์ม พ่อ กริฟฟิธ , อดีตพันธมิตรเจ้าหน้าที่บาดเจ็บในระหว่างสงครามกลางเมือง ตายเมื่อกริฟฟิธแค่สิบ เงียบ เด็กให้อ่าน กริฟฟิท มีการศึกษาน้อย แต่ใช้เวลามากเวลาว่างของเขาในห้องสมุดขณะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเขาตัดสินใจจะเป็นนักเขียนบทละครและออกจากบ้านเพื่อเรียนรู้งานฝีมือของเขาในฐานะนักแสดง สิบสองปีเขาทับประเทศ ทำหน้าที่ในการผลิตน้อย เรียนรู้วิธีการบอกเล่าเรื่องราวและวิธีการขาย

Griffith เล่นหลายบทบาทในฐานะนักแสดงก่อนที่จะตกลงย้ายไปอยู่หลังกล้องเป็นผู้กำกับที่ไบโอกราฟ ของบริษัท ในช่วงห้าปีที่ไบโอกราฟ ,กริฟฟิธเอาดิบองค์ประกอบของ moviemaking ตามที่พวกเขาได้พัฒนาขึ้น เพื่อที่เวลา - แสง ความต่อเนื่อง การแก้ไข ทำ - และกระทำสื่อของอำนาจพิเศษและความแตกต่าง ภาพยนตร์สั้นๆ เช่น มุมในข้าวสาลี ( 1909 ) เลือดนักสู้ ( 1911 ) , และการเผาไหม้ภายใต้ท้องฟ้า ( 1912 ) แสดงเครื่องหมายของกรีฟิส สไตล์แล้วเกิดใหม่ : ตัดขวางการแก้ไขเพื่อสร้างแรงการสังเกตเฉียบพลันของรายละเอียดเพิ่มความเป็นจริง และใช้กล้องที่เป็นพาหนะ expounding มุมมองของเขาต่อสังคม มุ่งมั่นที่จะได้รับนอกเหนือจากภาพยนตร์รูปแบบสั้น เขาทิ้งไบโอกราฟ และเริ่มทำงานในสิ่งที่จะได้รับการผลิตที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา

ทำ 1915 กำเนิดชาติเป็นชิ้นเอกแรกของภาพยนตร์ที่นำภาพยนตร์สถานะเพียงทัศนศิลป์ และศิลปะการแสดงเรื่องของสงครามกลางเมือง กำเนิดของประเทศถูกใช้ความรุนแรง ตื่นเต้นและความตื่นเต้นของสงคราม การใช้มุมกล้องที่น่าทึ่งมาก และ complexly interweaved แก้ไข , ภาพยนตร์นำเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่เหมือนภาพยนตร์ที่เคยทำมาก่อน ฟิล์ม แต่สวยงามเป็นคัมภีร์อันอคติลึกของครั้งและผู้ชมดำถูกข่มขืนโดยการเหยียดผิวของประวัติศาสตร์ ดูเป็นผู้สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของคูคลักซ์แคลน ฟิล์ม เกิดจลาจลในหลายชุมชน ดำ

กรีฟีสต่อภาพยนตร์ การขัดแย้ง ( 1916 ) คือขอให้พี่น้องและความเข้าใจตลอดจน polemic ต่อต้านอนุมูลอิสระการปฏิรูปสังคมที่เรียกร้องให้กำเนิดของชาติถูกเซ็นเซอร์ ภาพยนตร์เครื่องหมายมาตรฐานใหม่ในการแสดงภาพยนตร์และความซับซ้อนในการเล่าเรื่อง ที่เกี่ยวพันกัน สี่แยกเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันสี่ยุคสมัยตามต่อด้วยดอกแตก ( 1919 ) และวิธีลงตะวันออก ( 2463 ) กริฟฟิธแข็งชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้อำนวยการระดับแถวหน้าของอเมริกา เขายังคงที่จะบูรณาการภาษาของภาพยนตร์ คนประหลาดกับเรื่องราวมหากาพย์เรื่องเล่าการออกแบบชุดซับซ้อน และกว้างขวางเดินทางแสดงซึ่งเป็นเพื่อน

ภาพยนตร์เมืองไปยังเมืองดอกแตกเป็นเรื่องราวของอ่อนโยนความรักระหว่างชายจีนและสาวโฉด และคนหัวดื้อกับพ่อ สวยงามและได้อารมณ์ฟิล์มระเบิดเป็นครั้งแรกจากบริษัทใหม่ กริฟฟิธ , ก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน บริษัทสหศิลปิน ทำให้กรีฟีสร่วมกับสามนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวัน ดักลาสแฟร์แบงค์ ชาร์ลี แชปลินแมรี่พิคฟอร์ด . กริฟฟิธจะใช้เวลาสิบปีถัดไปสร้างหนังกับสหศิลปินและมหา แต่จะไม่เคยอีกครั้งถึงชื่อเสียงของการเกิดของประเทศ หรือต่อ

เป็นเพลงคำรามใน ภาพยนตร์ กรีฟิส ดูเหมือนจะมากขึ้นและล้าสมัย และไม่อุทธรณ์ไปยังผู้ชมอายุน้อยกว่า เป็นผู้เล่าเรื่อง วิคทอเรียเขาได้กลายเป็น temperamentally และศิลปะออกจากซิงค์กับเวลาของเขา แม้ว่าเขาแทบจะดันคิดค้นศิลปะของโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัย , Griffith ใช้เวลาสิบห้าปีของชีวิตของเขาที่ไม่สามารถหางาน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1948 เขาเสียชีวิตในโรงแรม Los Angeles เล็ก ในการปลุกของความตายของเขาและมาถึงยุคของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ d.w.กริฟฟิธได้ยึดสถานที่ของเขาในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอเมริกันเป็นหนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเวลาทั้งหมด