จากอิทธิพลของแนวความคิดเสรีนิยมใหม่(neo-liberalism)ได้ปฏิวัติระบบกลไกของตลาดสินค้าและบริการอย่างสิ้นเชิงทั้งการเกิดขึ้นและระบบการทำงานของตลาด โดยตลาดไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติจากระบบกลไกตลาดตามแนวคิดของAdam Smith หากแต่การเกิดขึ้นของตลาดสินค้าและบริการในระดับระหว่างประเทศในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นจากข้อกำหนดของข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งแบบพหุภาคีและทวิภาคี ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นมากมายเหล่านี้ได้สร้างตลาดสินค้าและบริการให้เกิดขึ้นในสังคมระหว่างประเทศ
ข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องสินค้าและบริการเหล่านี้เองที่ส่งผลให้รัฐจำต้องกำหนดนโยบายการบริหารและการดำเนินการทางด้านเศรษฐกิจตามพันธะหรือตามข้อตกลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐในอันที่จะเลือกและดำเนินนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมต่อความเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละรัฐและก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างราบรื่นต่อไป
ประเด็นแรกที่สำคัญที่เป็นผลพวงซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากระบบเสรีนิยมใหม่ก็คือแนวคิดในการเปิดเสรีทางการค้า โดยมุ่งเน้นให้นโยบายของรัฐต่างๆตอบสนองต่อการเปิดเสรีทางการค้า โดยเฉพาะภาคการค้าและการบริการ มีกระบวนการเคลื่อนย้ายทุนและเทคโนโลยี การจัดทำนโยบายสาธารณะหรือนโยบายต่างๆมุ่งเน้นไปเพื่อการตอบสนองต่อกระบวนการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงประเทศไทยเองแล้ว เราเองกำหนดนโยบายสาธารณะโดยมุ่งเน้นไปที่การเกื้อหนุน ตอบสนองและอำนวยความสะดวกต่อนักลงทุนต่างชาติ เพื่อที่จะแสวงหาและทำกำไร(marginalization)ให้มากที่สุดมากกว่าที่จะมาพิจารณาถึงสภาพปัญหาและความเป็นจริงของสังคมเศรษฐกิจและระดับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยเอง คือแทนที่ภาครัฐจะมุ่งไปที่ความต้องการและปัญหาของประชาชนภายในประเทศ รัฐกลับพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือการดำเนินนโยบายอย่างเข้าไปผูกพันกับข้อตกลงระหว่างประเทศและพยายามเปลี่ยนสิ่งที่เป็นสมบัติสาธารณะ(public goods)ให้เป็นสินค้า(commodities)ภายใต้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการเปิดเสรีในการลงทุน มีการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะและโครงสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มผู้ลงทุน
ซึ่งเป็นการมุ่งที่จะพัฒนาแบบก้าวกระโดดเพื่อให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆโดยไม่คำนึงถึงศักยภาพของตน และความต้องการที่แท้จริงของประชาชน เห็นกรณีตัวอย่างได้ชัดเจนจากการทำ FTA กับหลายประเทศที่ไทยไม่มีการศึกษาถึงผลได้-ผลเสียที่ดีพอก่อนที่จะเปิดเสรีด้วย ขาดการเตรียมการรองรับผลกระทบรอบด้านอย่างเพียงพอ
และเมื่อเกิดปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบและต้องแบกรับภาระด็คือภาคประชาชน ทั้งที่ความจริงแล้วหลักการที่ใกล้ตัวที่เราควรนำมาเป็นหลักก็คือ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง คือมองว่าเรามีศักยภาพอะไร ถนัดด้านไหนก็มุ่งพัฒนาให้ถูกด้าน โดยที่ไม่ต้องไปพยายามให้มีให้เป็นอย่างประเทศมหาอำนาจ ขอแค่การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้ไหลลื่น ไม่ติดขัด และนำความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ภาคประชาชน