Red is the color of our most intens

Red is the color of our most intense emotions—love and anger, passion and fury. It’s associated with objects of power and desire—like fast cars and red roses. Early cultures treasured rubies for their similarity to the redness of the blood that flowed through their veins, and believed that rubies held the power of life.

Ruby is one of the most historically significant colored stones. Rubies are mentioned four times in the Bible, in association with attributes like beauty and wisdom. In the ancient language of Sanskrit, ruby is called ratnaraj, or “king of precious stones.”

In the first century AD, the Roman scholar Pliny included rubies in his Natural History, describing their hardness and density. Ancient Hindus believed that those who offered fine rubies to the god Krishna were granted rebirth as emperors.

Hindus divided ruby into four castes, calling the true Oriental ruby a Brahmin. Someone in possession of a Brahmin was believed to have the advantage of perfect safety.

Ruby has accumulated a host of legends over the centuries. People in India believed that rubies enabled their owners to live in peace with their enemies. In Burma (a ruby source since at least 600 AD—now called Myanmar), warriors possessed rubies to make them invincible in battle. However, it wasn’t enough to just wear the rubies. They had to insert them into their flesh and make them part of their bodies.

The name ruby comes from the Latin word ruber, which means “red.” The glowing red of ruby suggested an inextinguishable flame burning in the stone, even shining through clothing and able to boil water.

Ruby has been called the most precious of the 12 stones created by God.

Ruby retained its importance with the birth of the western world and became one of the most sought-after gems of European royalty and the upper classes. Many medieval Europeans wore rubies to guarantee health, wealth, wisdom, and success in love.

Desire for ruby is just as great today as it always has been. As a symbol of passion, ruby makes an ideal romantic gift. Consumers are drawn to the lush color because it also signifies wealth and success.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สีแดงเป็นสีของอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดของเราคือความรัก และความโกรธ ความรัก และโกรธ มีการเชื่อมโยงกับวัตถุและความปรารถนา — เช่นรถยนต์อย่างรวดเร็วและกุหลาบสีแดง วัฒนธรรมช่วงตบทับทิมในความคล้ายคลึงกับแดงของเลือดที่ไหลผ่านเส้นเลือดของพวกเขา และเชื่อว่า ทับทิมจัดพลังของชีวิต ทับทิมเป็นหินสีสำคัญที่สุดอดีตอย่างใดอย่างหนึ่ง ทับทิมจะกล่าวถึง 4 ครั้งในพระคัมภีร์ กับคุณลักษณะเช่นความสวยงามและภูมิปัญญา ในภาษาโบราณของภาษาสันสกฤต ทับทิมเป็น ratnaraj เรียก หรือ "กษัตริย์แห่งอัญมณี" ในโฆษณาศตวรรษแรก นักวิชาการโรมัน Pliny รวมทับทิมในพระประวัติ อธิบายความแข็งและความหนาแน่นของพวกเขา โบราณฮินดูเชื่อว่า คนดีทับทิมแก่พระกฤษณะได้รับเกิดใหม่เป็นจักรพรรดิห ฮินดูแบ่งทับทิมเป็นพราหมณ์ เรียกทับทิมโอเรียนเต็ลแท้จริงเป็นพราหมณ์ คนที่อยู่ในความครอบครองของพราหมณ์ถูกเชื่อว่ามีข้อดีในด้านความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ ทับทิมได้สะสมของตำนานมากกว่าอื่น ๆ คนในอินเดียเชื่อว่า ทับทิมใช้เจ้าอยู่กับศัตรู ในพม่า (แหล่งทับทิมตั้งแต่น้อย 600 AD — ตอนนี้ เรียกว่าพม่า), นักรบต้องมีทับทิมเพื่อให้อยู่ยงคงกระพันในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม มันไม่พอเพียงสวมใส่ทับทิมจะ พวกเขาใส่ในเนื้อของพวกเขา และทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายThe name ruby comes from the Latin word ruber, which means “red.” The glowing red of ruby suggested an inextinguishable flame burning in the stone, even shining through clothing and able to boil water.Ruby has been called the most precious of the 12 stones created by God. Ruby retained its importance with the birth of the western world and became one of the most sought-after gems of European royalty and the upper classes. Many medieval Europeans wore rubies to guarantee health, wealth, wisdom, and success in love. Desire for ruby is just as great today as it always has been. As a symbol of passion, ruby makes an ideal romantic gift. Consumers are drawn to the lush color because it also signifies wealth and success.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สีแดงเป็นสีที่รุนแรงที่สุดของเราอารมณ์ความรักและความโกรธความรักและความโกรธ มันเกี่ยวข้องกับวัตถุของอำนาจและความปรารถนาเหมือนรถเร็วและดอกกุหลาบสีแดง วัฒนธรรมต้นรักทับทิมสำหรับความคล้ายคลึงกันของพวกเขาไปสีแดงของเลือดที่ไหลผ่านทางหลอดเลือดดำของพวกเขาและเชื่อว่าทับทิมถืออำนาจของชีวิต. ทับทิมเป็นหนึ่งในหินสีที่สำคัญที่สุดในอดีต ทับทิมกล่าวถึงสี่ครั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลในการเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับความงามและภูมิปัญญา ในภาษาสันสกฤตโบราณที่เรียกว่าทับทิม ratnaraj หรือ "พระมหากษัตริย์ของหินมีค่า." ในศตวรรษแรกนักวิชาการโรมันพลิรวมทับทิมในประวัติศาสตร์ธรรมชาติของเขาอธิบายความแข็งและความหนาแน่นของพวกเขา ชาวฮินดูโบราณเชื่อว่าผู้ที่นำเสนอทับทิมปรับให้วิญญาณพระเจ้ากฤษณะได้รับเป็นจักรพรรดิ. ฮินดูแบ่งออกเป็นสี่ทับทิมวรรณะเรียกจริงโอเรียนเต็ลทับทิมพราหมณ์ คนที่อยู่ในความครอบครองของพราหมณ์ก็เชื่อว่าจะมีความได้เปรียบของความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ. ทับทิมมีการสะสมโฮสต์ของตำนานศตวรรษที่ผ่านมา คนที่อยู่ในประเทศอินเดียที่เชื่อกันว่าทับทิมเปิดใช้งานเจ้าของของพวกเขาที่จะอยู่ในความสงบสุขกับศัตรูของพวกเขา ในพม่า (แหล่งทับทิมเพราะอย่างน้อย 600 AD-ตอนนี้เรียกว่าพม่า) นักรบครอบครองทับทิมจะทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพันในการต่อสู้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเพียงแค่สวมใส่ทับทิม พวกเขาจะต้องใส่ไว้ในเนื้อของพวกเขาและทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของพวกเขา. ทับทิมชื่อนี้ได้มาจาก ruber คำภาษาละตินซึ่งหมายความว่า "สีแดง." การเรืองแสงสีแดงของทับทิมแนะการเผาไหม้เปลวไฟดับไม่ได้อยู่ในหินแม้ส่องผ่านเสื้อผ้า และสามารถที่จะต้มน้ำ. ทับทิมได้รับการเรียกว่ามีค่ามากที่สุดใน 12 ก้อนหินที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้า. ทับทิมสะสมความสำคัญกับการเกิดของโลกตะวันตกและกลายเป็นหนึ่งในขอมากที่สุดหลังจากอัญมณีของเจ้านายยุโรปและชนชั้นสูง หลายคนในยุคกลางยุโรปสวมทับทิมที่จะรับประกันสุขภาพ, ความมั่งคั่งภูมิปัญญาและความสำเร็จในความรัก. ปรารถนาสำหรับทับทิมเป็นเพียงที่ดีเช่นในวันนี้ในขณะที่มันเคยได้รับ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักทับทิมทำให้ของขวัญที่โรแมนติกเหมาะ ผู้บริโภคจะถูกดึงไปสีเขียวชอุ่มเพราะมันยังหมายถึงความมั่งคั่งและความสำเร็จ