พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ  1) การแปลประโยค การแปล - พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ  1) การแปลประโยค ไทย วิธีการพูด

พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเ

พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ

1) การแปลประโยคจากไทยเป็นประโยคภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว (Word for Word Translation)

2) การเขียนโครงสร้างประโยคที่ simple และไม่มีความหลากหลาย (Simple Sentence Structure)

3) การออกเสียงคำไม่ถูกต้อง (Pronunication)

*********************************************

ใน entry แรก เรามาดูกันที่ปัญหาแรกก่อนดีกว่านะครับ

หลายคนยังมีความเชื่อ (แบบผิดๆ) ว่า grammar หรือเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลายคนจึงไม่รู้จัก Part of Speech (ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเขียนประโยค) ไม่รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ (Idiom) ไม่เข้าใจเรื่องกาลเวลา หรือ Tense และคิดแต่เพียงว่า โครงสร้างประโยคมีแบบเดียวเท่านั้น คือ ประธาน + กริยา + กรรม

แต่ข้อดีของคนไทย คือ การรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น

is แปลว่า เป็น อยู่ คือ

have แปลว่า มี

do แปลว่า ทำ

make ก็แปลว่า ทำ

แต่ปัญหา คือ

ไม่รู้ว่า make กับ do ใช้ต่างกันอย่างไร

หรือ is ใช้ได้กี่แบบ

หรือ นอกจาก have แปลว่า มี ยังสามารถแปลว่า "ได้ทำมาแล้ว" ก็ได้

ดังนั้น แม้คนไทยจะรู้ความหมายของศัพท์ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

ปัญหาที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การนำ "คำศัพท์" ดังกล่าวไปผสมโรงเข้ากับ "โครงสร้างประโยคแบบไทยๆ" ที่คุ้นเคย โดยไม่ได้ตระหนักว่า การเขียนหรือการพูดภาษาไทย มันแตกต่างจากภาษาอังกฤษ เพราะในภาษาไทย ปกติเรามักจะพูดหรือเขียนแบบเรียงคำ ไม่ได้มีกฏตายตัวเกี่ยวกับโครงสร้างประโยค รวมทั้งไม่ได้มีการผัน verb ตามกาลเวลาเหมือนในภาษาอังกฤษ ลองดูตัวอย่างประโยคนี้ครับ ฃ

ผม /ไม่ /อยาก/ไป/เรียน

เวลาแปลประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษแบบ word for word คนไทยก็มักจะพูดว่า I not want to go study.

แต่ประโยคนี้ผิดเต็มๆ แบบหมอไม่รับเย็บครับ

จริงๆ เราควรจะพูดว่า I do not want to go to study.

ทั้งนี้เพราะอะไรครับ

ประการที่ 1 ประโยคปฏิเสธในภาษาอังกฤษ (Negative) เราจะต้องใช้ "verb ช่วย" มานำหน้า "not" เสมอครับ (verb ช่วยมี 3 แบบ คือ verb to do, to have และ verb to be) อย่างที่ชื่อมันบอก มันเป็น verb ที่จะมา "ช่วย" เชื่อมประธานกับส่วนขยายของประโยคนั่นเองครับ

หมายเหตุ

1) ใช้ verb to do เป็น verb ช่วย ในกรณีที่เป็นประโยคปฏิเสธใน Present หรือ Past Tense เช่น

I do not want to go. ผมไม่อยากไป
I did not love her. ผมไม่ได้รักเธอ (ในอดีต) (ตอนนี้อาจจะรักแล้วก็ได้)

2) ใช้ verb to have เป็น verb ช่วย ใน Present Perfect หรือ Past Perfect Tense เช่น

I have finished. ผมเสร็จแล้ว
I have not finished. ผมยังไม่เสร็จเลย

3) ใช้ verb to be เป็น verb ช่วย ใน 2 กรณี คือ

3.1) กรณี Present Continuous Tense - กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เช่น

I am working ผมกำลังทำงานอยู่นะ

3.2) กรณี Passive Voice - ถูกกระทำ เช่น

I am surprised. ผมถูกทำให้ตกใจ

**********************************************
จากตัวอย่างข้างต้น กฏอีกข้อที่จะลืมไม่ได้เลย คือ verb 2 ตัวจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ไม่งั้นไฟฟ้าจะช๊อต เช่น

I not want to go study คำว่า go และ study จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ครับ เราต้องเอา to มาขั้นไว้ตรงกลางเสมอ

หมายเหตุ มีข้อยกเว้น เช่น verb to help จะตามด้วย to หรือ verb แท้ ก็ได้ เช่น

I want to help correct the mistake. หรือ

I want to help to correct the mistake.

********************************************
นอกจากกรณีที่กล่าวไปแล้ว บางทีเรามักจะได้ยินคนไทยเอา verb to be มาผสม verb แท้ เช่น

I am not want to go (ฉันไม่อยากไป)

ทั้งนี้ เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับการพูดประโยค "I am" ซะมาก

แต่ประโยค I am not want เป็นประโยคที่ผิดครับ

เพราะกฏสำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ verb to be จะนำมาใช้ร่วมกับ verb แท้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

เว้นแต่กรณีที่เป็น Continuous Tense เช่น I am working แต่เราต้องปรับ verb เป็น verb "ing"

หรือในกรณี passive voice เช่น I am done.

หมายเหตุ verb to be ใช้ได้ 3 กรณี คือ

1) ใช้ในกรณีที่แปลว่า เป็น อยู่ คือ เช่น she is a student. หล่อนเป็นนักเรียน

2) ใช้ในกรณีที่แปลว่า กำลัง เช่น she is working หล่อนกำลังทำงานอยู่

3) ใช้ในกรณีที่แปลว่า ถูก เช่น she was sent to an orphanage. หล่อนถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

**************************************
ลองมาดูตัวอย่างประโยคอื่นๆ ที่คนไทยมักจะพูดหรือเขียนผิด (ที่ผมเคยได้ยินมา) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการรู้จักความหมายของคำศัพท์ แต่ไม่รู้วิธีหรือบริบทที่จะนำไปใช้ให้ถูกต้อง รวมทั้งไม่เข้าใจหลัก grammar ภาษาอังกฤษ เช่น

1) "ปิดไฟ (ไฟฟ้า)" บางคนชอบแปลตามตัวว่า "Close the lights" แต่เราควรเปลี่ยนไปพูดว่า turn off the lights เพราะ close แปลว่า ปิด....แบบ "ปิดประตู" "ปิดร้าน" "ปิดคดี")

ส่วน turn off จะใช้กับการปิดไฟฟ้า ปิดน้ำ เช่น

turn off the electricity, turn off the water, turn off the hose

แต่ถ้าเป็นการดับไฟ (เช่น ไฟป่า) ก็จะใช้อีกสำนวน คือ to put out the fire หรือ to extinguish the fire

บทเรียน เราต้องทราบบริบทของการใช้คำศัพท์แต่ละคำ แม้ในคำไทยอาจจะแปลเหมือนกัน แต่ในภาษาอังกฤษ คำแต่ละคำจะใช้ในบริบทที่ไม่เหมือนกัน

*********************************************
2) "ฟังฉัน" บางคนจะพูดว่า "Listen me"

แม้ฝรั่งจะพอฟังเข้าใจ แต่ผมว่าดูประหลาดมาก ถ้าจะให้ถูก ต้องพูดว่า Listen to me.

เพราะ listen เป็นคำกริยาที่ต้องตามด้วย to เสมอ ไม่สามารถตามด้วยกรรม เช่น

I listened to the music.

แต่ถ้าเป็นคำว่า hear ซึ่งแปลว่า ได้ยิน จะตามด้วยกรรมได้ครับ เช่น

I didn't hear you ผมฟังไม่ได้ยินเลยอะ

บทเรียน ต้องรู้ว่าศัพท์แต่ละคำใช้อย่างไร กับ preposition อะไร

*********************************************
3) "ง่ายกว่า" ผมเคยได้ยินคนแบบ word for word ว่า "to be easy more" มาแล้วครับ ซึ่งผิดด้วย 2 เหตุผล คือ

(1) more จะอยู่หลัง adjective ไม่ได้ ต้องอยู่หน้าเท่านั้น (แต่เอาไว้หลัง verb ได้ เช่น I want to learn more about this.)

(2) การจะทำให้ easy เป็นขั้นกว่า เราต้องผัน easy เป็น easier ครับ (กฏบอกว่า ให้ใช้ more นำหน้าเฉพาะ adjective ยาวๆ เช่น comfortable)

บทเรียน ต้องเข้าใจ grammar เรื่องการเปรียบเทียบ (comparison) ทราบแค่ศัพท์ไม่พอครับ

*********************************************

4) "แม้ว่า........แต่" บางคนชอบแปลแบบ word for word ว่า "Although......but.........." เช่น

Although she is rich but she is selfish.

หากมองประโยคนี้แบบผิวเผิน เหมือนไม่มีอะไรผิดหลักไวยากรณ์ แต่ "สูตร" เขากำหนดมาแล้วว่า หากใช้ Although ห้ามใช้ but เด็ดขาด ดังนั้นประโยคที่ถูกต้อง คือ

Although she is rich, she is selfish. ไม่มี but นะครับ

บทเรียน ควรจำโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษให้ได้

*********************************************

5) "ที่นี่ฝนตกบ่อย" คนไทยมักพูดว่า "It's often raining here"

ประโยคนี้ก็เช่นกัน ดูแล้วไม่น่าผิดไวยากรณ์ แต่จริงๆ ผิดในเรื่องของ tense ครับ

often แปลว่า บ่อย มักจะใช้กับ Past หรือ Present Tense เพื่อใช้อธิบายเหตุการณ์ที่ทำบ่อยในอดีตหรือในปัจจุบัน

I often miss the bus. ผม
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษคือ 1) การแปลประโยคจากไทยเป็นประโยคภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว (คำสำหรับคำแปล) 2) เรื่องและไม่มีความหลากหลายการเขียนโครงสร้างประโยคที่ (โครงสร้างประโยคแบบง่าย ๆ) 3) การออกเสียงคำไม่ถูกต้อง (Pronunication) ********************************************* ในรายการแรกเรามาดูกันที่ปัญหาแรกก่อนดีกว่านะครับ หลายคนยังมีความเชื่อ (แบบผิด ๆ) ว่าไวยากรณ์หรือเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องสำคัญหลายคนจึงไม่รู้จักของ (ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเขียนประโยค) ไม่รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ (สำนวน) ไม่เข้าใจเรื่องกาลเวลาหรือและคิดแต่เพียงว่าตึงโครงสร้างประโยคมีแบบเดียวเท่านั้นคือประธาน + กริยา + กรรม แต่ข้อดีของคนไทยคือการรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเช่น มีแปลว่าเป็นอยู่คือ มีแปลว่ามี ทำก่อแปลว่า ทำให้ก่อก็แปลว่า แต่ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าทำให้ดื่มด่ำที่ทำใช้ต่างกันอย่างไร หรือเป็นใช้ได้กี่แบบ หรือนอกจากมีแปลว่ามียังสามารถแปลว่า "ได้ทำมาแล้ว" ก็ได้ ดังนั้นแม้คนไทยจะรู้ความหมายของศัพท์ในระดับหนึ่งแต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ปัญหาที่สำคัญไปกว่านั้นคือการนำ "คำศัพท์" ดังกล่าวไปผสมโรงเข้ากับ "โครงสร้างประโยคแบบไทยๆ" ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้ตระหนักว่าการเขียนหรือการพูดภาษาไทยมันแตกต่างจากภาษาอังกฤษเพราะในภาษาไทยปกติเรามักจะพูดหรือเขียนแบบเรียงคำไม่ได้มีกฏตายตัวเกี่ยวกับโครงสร้างประโยครวมทั้งไม่ได้มีการผันกริยาตามกาลเวลาเหมือนในภาษาอังกฤษลองดูตัวอย่างประโยคนี้ครับฃ ผม/ไม่/อยาก/ไป/เรียน คำเวลาแปลประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษแบบการคำคนไทยก็มักจะพูดว่าไม่ต้องไปศึกษา แต่ประโยคนี้ผิดเต็ม ๆ แบบหมอไม่รับเย็บครับ เราควรจะพูดว่าจริง ๆ ไม่อยากจะไปเรียน ทั้งนี้เพราะอะไรครับ ประการที่ 1 ประโยคปฏิเสธในภาษาอังกฤษ (ค่าลบ) เราจะต้องใช้ "กริยาช่วย" มานำหน้าเสมอครับ "ไม่" (คำกริยาช่วยมี 3 คำประกอบคือกริยาทำ และกริยาจะมี) อย่างที่ชื่อมันบอกมันเป็นกริยาที่จะมา "ช่วย" เชื่อมประธานกับส่วนขยายของประโยคนั่นเองครับ หมายเหตุ 1) ใช้กริยาต้องเป็นกริยาช่วยในกรณีที่เป็นประโยคปฏิเสธในปัจจุบันหรืออดีตเช่นตึงเครียด ผมไม่อยากไป ผมไม่อยากไป ฉันไม่ได้รักเธอ ผมไม่ได้รักเธอ (ในอดีต) (ตอนนี้อาจจะรักแล้วก็ได้) 2) ใช้กริยาให้เป็นกริยาช่วยในปัจจุบันสมบูรณ์หรือสมบูรณ์อดีตตึงเครียดเช่น เสร็จ ผมเสร็จแล้ว ไม่เสร็จ ผมยังไม่เสร็จเลย 3) ใช้คำกริยาให้ เป็นกริยาช่วยใน 2 กรณีคือ ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องปัจจุบันกรณี 3.1) - กำลังทำอยู่ในปัจจุบันเช่น ผมทำงานผมกำลังทำงานอยู่นะ กรณีที่ 3.2) วาจก - ถูกกระทำเช่น ฉันประหลาดใจ ผมถูกทำให้ตกใจ **********************************************จากตัวอย่างข้างต้นกฏอีกข้อที่จะลืมไม่ได้เลยคือกริยา 2 ตัวจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ไม่งั้นไฟฟ้าจะช๊อตเช่น ไม่ต้องไปไปศึกษาคำว่าเราต้องเอาจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ครับมาขั้นไว้ตรงกลางเสมอการศึกษาและ คำกริยาเช่นมีข้อยกเว้นหมายเหตุช่วยจะตามด้วยหรือกริยาแท้ก็ได้เช่น อยากจะช่วยแก้ไขความผิด ออกเป็น อยากจะช่วยแก้ไขความผิด ********************************************กริยาบางทีเรามักจะได้ยินคนไทยเอานอกจากกรณีที่กล่าวไปแล้วจะ มาผสมกริยาแท้เช่น ฉันไม่ต้องการไป (ฉันไม่อยากไป) ทั้งนี้เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับการพูดประโยคซะมาก "ฉัน" ฉันไม่ต้องการเป็นประโยคที่ผิดครับแต่ประโยค กริยาคือเพราะกฏสำคัญอีกข้อหนึ่งจะ จะนำมาใช้ร่วมกับกริยาแท้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เว้นแต่กรณีที่เป็นตึงเครียดอย่างต่อเนื่องเช่นฉันทำงานเป็นแต่เราต้องปรับกริยากริยา "ing" หรือในกรณีวาจกเช่นฉันทำ กริยาหมายเหตุจะ ใช้ได้ 3 กรณีคือ 1 ใช้ในกรณีที่แปลว่าเป็นอยู่คือเช่นเธอเป็นนักเรียน หล่อนเป็นนักเรียน 2) เช่นกำลังใช้ในกรณีที่แปลว่าเป็นหล่อนกำลังทำงานอยู่ทำงาน 3) เธอถูกส่งไปมูลนิธิสงเคราะห์เด็กเช่นถูกใช้ในกรณีที่แปลว่า หล่อนถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า **************************************ลองมาดูตัวอย่างประโยคอื่น ๆ ที่คนไทยมักจะพูดหรือเขียนผิด (ที่ผมเคยได้ยินมา) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการรู้จักความหมายของคำศัพท์แต่ไม่รู้วิธีหรือบริบทที่จะนำไปใช้ให้ถูกต้องรวมทั้งไม่เข้าใจหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเช่น 1) "ปิดไฟ (ไฟฟ้า)" บางคนชอบแปลตามตัวว่า "ปิดไฟ" แต่เราควรเปลี่ยนไปพูดว่าปิดไฟเพราะแปลว่าปิดปิด... คำประกอบ "ปิดประตู" "ปิดร้าน" "ปิดคดี") ส่วนปิดจะใช้กับการปิดไฟฟ้าปิดน้ำเช่น เปิดปิดไฟ เปิดปิดน้ำ ปิดสายยาง แต่ถ้าเป็นการดับไฟ (เช่นไฟป่า) ก็จะใช้อีกสำนวนคือดับหรือไฟดับไฟ บทเรียนเราต้องทราบบริบทของการใช้คำศัพท์แต่ละคำแม้ในคำไทยอาจจะแปลเหมือนกันแต่ในภาษาอังกฤษคำแต่ละคำจะใช้ในบริบทที่ไม่เหมือนกัน *********************************************2) "ฟังฉัน" บางคนจะพูดว่า "ฟังฉัน" แม้ฝรั่งจะพอฟังเข้าใจแต่ผมว่าดูประหลาดมากถ้าจะให้ถูกต้องพูดว่าฟังฉัน เพราะฟังเป็นคำกริยาที่ต้องตามด้วยไปเสมอไม่สามารถตามด้วยกรรมเช่นฉันฟังเพลง แต่ถ้าเป็นคำว่าได้ยินซึ่งแปลว่าได้ยินจะตามด้วยกรรมได้ครับเช่น ไม่ได้ฟังคุณผมฟังไม่ได้ยินเลยอะ บทเรียนต้องรู้ว่าศัพท์แต่ละคำใช้อย่างไรดื่มด่ำวิเศษณ์อะไร *********************************************3) "ผมเคยได้ยินคนแบบง่ายกว่า" คำสำหรับคำว่า "ให้มีความง่ายมากขึ้น" มาแล้วครับซึ่งผิดด้วย 2 เหตุผลคือ (1) ต้องอยู่หน้าเท่านั้นเพิ่มเติมจะอยู่หลังไม่ได้คุณศัพท์ (แต่เอาไว้หลังกริยาได้เช่นต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้) (2) การจะทำให้เป็นขั้นกว่าง่ายเราต้องผันเป็นเรื่องง่ายง่ายครับ (กฏบอกว่าให้ใช้เพิ่มเติมนำหน้าเฉพาะคุณศัพท์ยาว ๆ เช่นสบาย) ทราบแค่ศัพท์ไม่พอครับบทเรียนต้องเข้าใจไวยากรณ์เรื่องการเปรียบเทียบ (เปรียบเทียบ) ********************************************* 4 "แม้ว่า... แต่"คำบางคนชอบแปลแบบสำหรับคำว่า" แต่... แต่... " เช่น แต่เธอมี แต่เธอเห็นแก่ตัว หากมองประโยคนี้แบบผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรผิดหลักไวยากรณ์แต่ "สูตร" เขากำหนดมาแล้วว่าหากใช้แม้ว่าคือดังนั้นประโยคที่ถูกต้องห้ามใช้แต่เด็ดขาด แม้ว่าเธอจะรวย เธอเป็นเห็นแก่ตัว แต่นะครับไม่มี บทเรียนควรจำโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษให้ได้ ********************************************* 5) "ที่นี่ฝนตกบ่อย" คนไทยมักพูดว่า "It's often raining here" ประโยคนี้ก็เช่นกัน ดูแล้วไม่น่าผิดไวยากรณ์ แต่จริงๆ ผิดในเรื่องของ tense ครับ often แปลว่า บ่อย มักจะใช้กับ Past หรือ Present Tense เพื่อใช้อธิบายเหตุการณ์ที่ทำบ่อยในอดีตหรือในปัจจุบัน I often miss the bus. ผม
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
คือ1) (Word สำหรับแปล Word) 2) การเขียนโครงสร้างประโยคที่ง่ายและไม่มีความหลากหลาย (โครงสร้างประโยคง่าย) 3) การออกเสียงคำไม่ถูกต้อง (Pronunication) **************** ***************************** ในรายการแรก (แบบผิด ๆ ) ว่าไวยากรณ์หรือเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องสำคัญหลายคนจึงไม่รู้จักส่วนหนึ่งของคำพูด ไม่รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ (สำนวน) ไม่เข้าใจเรื่องกาลเวลาหรือเครียดและคิด แต่เพียงว่าโครงสร้างประโยคมีแบบเดียวเท่านั้นคือประธาน + กริยา + กรรมแต่ข้อดีของคนไทยคือหัวเรื่อง: การรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเช่นมีที่แปลว่าเป็นอยู่คือมีแปลว่ามีทำแปลว่าทำให้ว่าได้แปลก็ทำแต่ผู้ช่วยคือไม่รู้ว่าได้ทำกับทำต่างกันใช้อย่างไรหรือมีกี่แบบใช้ได้หรือนอกจากมีแปลว่ามียังสามารถแปลว่า"ได้ทำมาแล้ว" ก็ได้ดังนั้น คือการนำ "คำศัพท์" ดังกล่าวไปผสมโรงเข้ากับ "โครงสร้างประโยคแบบไทย ๆ " ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้ตระหนักว่าการเขียนหรือการพูดภาษาไทยมันแตกต่างจากภาษาอังกฤษเพราะในภาษาไทย รวมทั้งไม่ได้มีการผันคำกริยากาลเวลาตามเหมือนในภาษาอังกฤษลองดูตัวอย่าง arrow ประโยคนี้ครับฃผม/ ไม่ คำพูดคนไทยก็มักจะพูดว่าฉันไม่ต้องการที่จะไปศึกษา. แต่ประโยคนี้ผิดเต็ม ๆ แบบหมอไม่รับเย็บครับจริงๆเราควรจะพูดว่าได้ฉันไม่ต้องการที่จะไปศึกษา. ทั้งนี้เพราะอะไรครับประการที่1 ประโยคปฏิเสธในภาษาอังกฤษ (เชิงลบ) เราจะต้องใช้ "คำกริยาช่วย" มานำหน้า "ไม่ได้" เสมอครับ (คำกริยาช่วยมี 3 แบบคือคำกริยาที่ต้องทำเพื่อให้มีและคำกริยาจะ) อย่างที่ชื่อมันบอกมันเป็น คำกริยาที่จะมา "ช่วย" ใช้คำกริยาที่จะทำเป็นคำกริยาช่วยในกรณีที่เป็นประโยคปฏิเสธในปัจจุบันหรืออดีตกาลเช่นฉันไม่ต้องการที่จะไป ผมไม่อยากไปผมไม่ได้รักเธอ ผมไม่ได้รักเธอ (ในอดีต) (ตอนนี้อาจจะรักแล้วก็ได้) 2) ใช้คำกริยาที่จะมีเป็นกริยาช่วยในปัจจุบันหรือในอดีตที่สมบูรณ์แบบที่สมบูรณ์แบบ Tense เช่นผมได้ดำเนินการเสร็จสิ้น ผมเสร็จแล้วผมยังไม่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น ผมยังไม่เสร็จเลย3) ใช้คำกริยาจะเป็นเป็นคำกริยาช่วยใน 2 กรณีคือ3.1) กรณีปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง Tense - กำลังทำอยู่ในปัจจุบันเช่นฉันทำงานผมกำลังทำงานอยู่นะ3.2) กรณีแบบ Passive เสียง - ถูกกระทำเช่นฉันประหลาดใจ. กฏอีกข้อที่จะลืมไม่ได้เลยคือคำกริยา 2 ตัวจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ไม่งั้นไฟฟ้าจะช๊อตเช่นฉันไม่ต้องการที่จะไปศึกษาคำว่าไปและการศึกษาจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ครับเราต้องเอาไปขั้นไว้มาตรงกลางเสมอหมายเหตุมีข้อทางทหารยกเว้นเช่นคำกริยาที่จะช่วยให้จะตามด้วยการหรือคำกริยาแท้ก็ได้เช่นผมต้องการที่จะช่วยแก้ไขข้อผิดพลาด หรือฉันต้องการที่จะช่วยในการแก้ไข บางทีเรามักจะได้ยินคนไทยเอาคำกริยาจะเป็นมาผสมคำกริยาแท้เช่นผมไม่ได้ต้องการที่จะไป (ฉันไม่อยากไป) ทั้งนี้ "ผม" มากซะแต่ประโยคผมไม่ได้ต้องการ คือคำกริยาจะเป็นจะนำมาใช้ร่วมกับคำกริยา อย่างต่อเนื่อง Tense เช่นฉันทำงาน แต่เราต้องปรับคำกริยาเป็นกริยา "ไอเอ็นจี" หรือในกรณีเสียงเรื่อย ๆ เช่นฉันกำลังทำ. หมายเหตุคำกริยาจะเป็นใช้ได้ 3 กรณีคือ1) ใช้ในกรณีที่แปลว่าเป็นอยู่คือเช่นเธอเป็นนักเรียน . หล่อนเป็นนักเรียน2) ใช้ในกรณีที่แปลว่ากำลังเช่นเธอทำงานหล่อนกำลังทำงานอยู่3) ใช้ในกรณีที่แปลว่าถูกเช่นเธอถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่คนไทยมักจะพูดหรือเขียนผิด (ที่ผมเคยได้ยินมา) รวมทั้งไม่เข้าใจหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเช่น1) "ปิดไฟ (ไฟฟ้า)" บางคนชอบแปลตามตัวว่า "ปิดไฟ" แต่เราควรเปลี่ยนไปพูดว่าปิดไฟเพราะใกล้แปลว่าปิด .... แบบ "ปิดประตู" "ปิดร้าน" "ปิดคดี") ส่วนปิดจะใช้กับการปิดไฟฟ้าปิดน้ำเช่นปิดไฟฟ้าปิดน้ำปิดท่อแต่ถ้าเป็นการดับไฟ (เช่นไฟป่า) ก็ จะใช้อีกสำนวนคือการดับไฟหรือที่จะดับไฟบทเรียน แม้ในคำไทยอาจจะแปลเหมือนกัน แต่ในภาษาอังกฤษ "ฟังฉัน" บางคนจะพูดว่า "ฟังฉัน" แม้ฝรั่งจะพอฟังเข้าใจ แต่ผมว่าดูประหลาดมากถ้าจะให้ถูกต้องพูดว่าฟังฉัน. เพราะฟังเป็นคำกริยาที่ต้องตามด้วยการเสมอไม่สามารถตาม ด้วยกรรมเช่นผมฟังเพลง. แต่ถ้าเป็นคำว่าได้ยินซึ่งแปลว่าได้ยินจะตามด้วยกรรมได้ครับเช่นฉันไม่ได้ยินคุณไม่ฟังผมได้ยินเลยอะบทเรียนคุณต้องรู้ว่าได้ศัพท์แต่ละคำใช้อย่างไรกับคำบุพบทอะไร********************************************* 3) "ง่ายกว่า "ผมเคยได้ยินคนแบบสำหรับคำว่า" ให้มากขึ้นง่าย "มาแล้วครับซึ่งผิดด้วย 2 เหตุผลคือ(1) อื่น ๆ จะอยู่หลังคำคุณศัพท์ไม่ได้ต้องอยู่หน้าเท่านั้น (แต่เอาไว้หลังคำกริยาได้เช่นผมต้องการที่จะ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้.) (2) การจะทำให้ง่ายเป็นขั้นกว่าเราต้องผันง่ายเป็นง่ายขึ้นครับ (กฏบอกว่าให้ใช้มากขึ้นนำหน้าเฉพาะคำคุณศัพท์ยาว ๆ เช่นความสะดวกสบาย) บทเรียนต้องเข้าใจไวยากรณ์เรื่องการเปรียบเทียบ (เปรียบเทียบ) "แม้ว่า ........ แต่" บางคนชอบแปลแบบคำพูดว่า "แม้ว่า ...... แต่ .......... " เช่นแม้ว่าเธอจะอุดมไปด้วยแต่เธอก็เห็นแก่ตัว . หากมองประโยคนี้แบบผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรผิดหลักไวยากรณ์ แต่ "สูตร" เขากำหนดมาแล้วว่าหากใช้แม้ว่าห้ามใช้ แต่เด็ดขาดดังนั้นประโยคที่ถูกต้องคือแม้ว่าเธอจะอุดมไปด้วยเธอเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีครับ แต่นะบทเรียน "ที่นี่ฝนตกบ่อย" คนไทยมักพูดว่า "มันมักจะมีฝนตกที่นี่" ประโยคนี้ก็เช่นกันดูแล้วไม่น่าผิดไวยากรณ์ แต่จริงๆผิดในเรื่องของกาลครับมักจะแปลว่าบ่อยมักจะใช้กับอดีตหรือปัจจุบันกาล มักจะพลาดรถบัส ผม
































































































































































การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษความ

1 ) การแปลประโยคจากไทยเป็นประโยคภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว ( คำแปล )

2 ) การเขียนโครงสร้างประโยคที่ง่ายและไม่มีความหลากหลาย ( โครงสร้างประโยคง่าย ๆ )

3 ) การออกเสียงคำไม่ถูกต้อง ( pronunication ********************************************* )





แรกเรามาดูกันที่ปัญหาแรกก่อนดีกว่านะครับ the รายการหลายคนยังมีความเชื่อ ( แบบผิดๆ ) ว่าไวยากรณ์หรือเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องสำคัญหลายคนจึงไม่รู้จักส่วนของคำพูด ( ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเขียนประโยค ) ไม่รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ ( สำนวน ) ไม่เข้าใจเรื่องกาลเวลาเครียดและคิดแต่เพียงว่าโครงสร้างประโยคมีแบบเดียวเท่านั้นความประธานกริยากรรม

แต่ข้อดีของคนไทยความการรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเช่น

เป็นแปลว่าเป็นอยู่ความ

มีแปลว่าคอนโด

ทำแปลว่าทำ

ให้ก็แปลว่าทำ

แต่ปัญหาความ

ไม่รู้ว่าให้กับทำใช้ต่างกันอย่างไร



ใช้ได้กี่แบบค็อคคือค็อคนอกจากมีแปลว่าคอนโดยังสามารถแปลว่า " ได้ทำมาแล้ว " ก็ได้

ดังนั้นแม้คนไทยจะรู้ความหมายของศัพท์ในระดับหนึ่งแต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

ปัญหาที่สำคัญไปกว่านั้นความการนำ " คำศัพท์ " ดังกล่าวไปผสมโรงเข้ากับ " โครงสร้างประโยคแบบไทยๆ " ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้ตระหนักว่าการเขียนหรือการพูดภาษาไทยมันแตกต่างจากภาษาอังกฤษเพราะในภาษาไทย
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: