พบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยในการเรียนภาษาอังกฤษ คือ
1) การแปลประโยคจากไทยเป็นประโยคภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว (Word for Word Translation)
2) การเขียนโครงสร้างประโยคที่ simple และไม่มีความหลากหลาย (Simple Sentence Structure)
3) การออกเสียงคำไม่ถูกต้อง (Pronunication)
*********************************************
ใน entry แรก เรามาดูกันที่ปัญหาแรกก่อนดีกว่านะครับ
หลายคนยังมีความเชื่อ (แบบผิดๆ) ว่า grammar หรือเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลายคนจึงไม่รู้จัก Part of Speech (ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเขียนประโยค) ไม่รู้จักสำนวนภาษาอังกฤษ (Idiom) ไม่เข้าใจเรื่องกาลเวลา หรือ Tense และคิดแต่เพียงว่า โครงสร้างประโยคมีแบบเดียวเท่านั้น คือ ประธาน + กริยา + กรรม
แต่ข้อดีของคนไทย คือ การรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น
is แปลว่า เป็น อยู่ คือ
have แปลว่า มี
do แปลว่า ทำ
make ก็แปลว่า ทำ
แต่ปัญหา คือ
ไม่รู้ว่า make กับ do ใช้ต่างกันอย่างไร
หรือ is ใช้ได้กี่แบบ
หรือ นอกจาก have แปลว่า มี ยังสามารถแปลว่า "ได้ทำมาแล้ว" ก็ได้
ดังนั้น แม้คนไทยจะรู้ความหมายของศัพท์ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ปัญหาที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การนำ "คำศัพท์" ดังกล่าวไปผสมโรงเข้ากับ "โครงสร้างประโยคแบบไทยๆ" ที่คุ้นเคย โดยไม่ได้ตระหนักว่า การเขียนหรือการพูดภาษาไทย มันแตกต่างจากภาษาอังกฤษ เพราะในภาษาไทย ปกติเรามักจะพูดหรือเขียนแบบเรียงคำ ไม่ได้มีกฏตายตัวเกี่ยวกับโครงสร้างประโยค รวมทั้งไม่ได้มีการผัน verb ตามกาลเวลาเหมือนในภาษาอังกฤษ ลองดูตัวอย่างประโยคนี้ครับ ฃ
ผม /ไม่ /อยาก/ไป/เรียน
เวลาแปลประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษแบบ word for word คนไทยก็มักจะพูดว่า I not want to go study.
แต่ประโยคนี้ผิดเต็มๆ แบบหมอไม่รับเย็บครับ
จริงๆ เราควรจะพูดว่า I do not want to go to study.
ทั้งนี้เพราะอะไรครับ
ประการที่ 1 ประโยคปฏิเสธในภาษาอังกฤษ (Negative) เราจะต้องใช้ "verb ช่วย" มานำหน้า "not" เสมอครับ (verb ช่วยมี 3 แบบ คือ verb to do, to have และ verb to be) อย่างที่ชื่อมันบอก มันเป็น verb ที่จะมา "ช่วย" เชื่อมประธานกับส่วนขยายของประโยคนั่นเองครับ
หมายเหตุ
1) ใช้ verb to do เป็น verb ช่วย ในกรณีที่เป็นประโยคปฏิเสธใน Present หรือ Past Tense เช่น
I do not want to go. ผมไม่อยากไป
I did not love her. ผมไม่ได้รักเธอ (ในอดีต) (ตอนนี้อาจจะรักแล้วก็ได้)
2) ใช้ verb to have เป็น verb ช่วย ใน Present Perfect หรือ Past Perfect Tense เช่น
I have finished. ผมเสร็จแล้ว
I have not finished. ผมยังไม่เสร็จเลย
3) ใช้ verb to be เป็น verb ช่วย ใน 2 กรณี คือ
3.1) กรณี Present Continuous Tense - กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เช่น
I am working ผมกำลังทำงานอยู่นะ
3.2) กรณี Passive Voice - ถูกกระทำ เช่น
I am surprised. ผมถูกทำให้ตกใจ
**********************************************
จากตัวอย่างข้างต้น กฏอีกข้อที่จะลืมไม่ได้เลย คือ verb 2 ตัวจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ไม่งั้นไฟฟ้าจะช๊อต เช่น
I not want to go study คำว่า go และ study จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ครับ เราต้องเอา to มาขั้นไว้ตรงกลางเสมอ
หมายเหตุ มีข้อยกเว้น เช่น verb to help จะตามด้วย to หรือ verb แท้ ก็ได้ เช่น
I want to help correct the mistake. หรือ
I want to help to correct the mistake.
********************************************
นอกจากกรณีที่กล่าวไปแล้ว บางทีเรามักจะได้ยินคนไทยเอา verb to be มาผสม verb แท้ เช่น
I am not want to go (ฉันไม่อยากไป)
ทั้งนี้ เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับการพูดประโยค "I am" ซะมาก
แต่ประโยค I am not want เป็นประโยคที่ผิดครับ
เพราะกฏสำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ verb to be จะนำมาใช้ร่วมกับ verb แท้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
เว้นแต่กรณีที่เป็น Continuous Tense เช่น I am working แต่เราต้องปรับ verb เป็น verb "ing"
หรือในกรณี passive voice เช่น I am done.
หมายเหตุ verb to be ใช้ได้ 3 กรณี คือ
1) ใช้ในกรณีที่แปลว่า เป็น อยู่ คือ เช่น she is a student. หล่อนเป็นนักเรียน
2) ใช้ในกรณีที่แปลว่า กำลัง เช่น she is working หล่อนกำลังทำงานอยู่
3) ใช้ในกรณีที่แปลว่า ถูก เช่น she was sent to an orphanage. หล่อนถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
**************************************
ลองมาดูตัวอย่างประโยคอื่นๆ ที่คนไทยมักจะพูดหรือเขียนผิด (ที่ผมเคยได้ยินมา) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการรู้จักความหมายของคำศัพท์ แต่ไม่รู้วิธีหรือบริบทที่จะนำไปใช้ให้ถูกต้อง รวมทั้งไม่เข้าใจหลัก grammar ภาษาอังกฤษ เช่น
1) "ปิดไฟ (ไฟฟ้า)" บางคนชอบแปลตามตัวว่า "Close the lights" แต่เราควรเปลี่ยนไปพูดว่า turn off the lights เพราะ close แปลว่า ปิด....แบบ "ปิดประตู" "ปิดร้าน" "ปิดคดี")
ส่วน turn off จะใช้กับการปิดไฟฟ้า ปิดน้ำ เช่น
turn off the electricity, turn off the water, turn off the hose
แต่ถ้าเป็นการดับไฟ (เช่น ไฟป่า) ก็จะใช้อีกสำนวน คือ to put out the fire หรือ to extinguish the fire
บทเรียน เราต้องทราบบริบทของการใช้คำศัพท์แต่ละคำ แม้ในคำไทยอาจจะแปลเหมือนกัน แต่ในภาษาอังกฤษ คำแต่ละคำจะใช้ในบริบทที่ไม่เหมือนกัน
*********************************************
2) "ฟังฉัน" บางคนจะพูดว่า "Listen me"
แม้ฝรั่งจะพอฟังเข้าใจ แต่ผมว่าดูประหลาดมาก ถ้าจะให้ถูก ต้องพูดว่า Listen to me.
เพราะ listen เป็นคำกริยาที่ต้องตามด้วย to เสมอ ไม่สามารถตามด้วยกรรม เช่น
I listened to the music.
แต่ถ้าเป็นคำว่า hear ซึ่งแปลว่า ได้ยิน จะตามด้วยกรรมได้ครับ เช่น
I didn't hear you ผมฟังไม่ได้ยินเลยอะ
บทเรียน ต้องรู้ว่าศัพท์แต่ละคำใช้อย่างไร กับ preposition อะไร
*********************************************
3) "ง่ายกว่า" ผมเคยได้ยินคนแบบ word for word ว่า "to be easy more" มาแล้วครับ ซึ่งผิดด้วย 2 เหตุผล คือ
(1) more จะอยู่หลัง adjective ไม่ได้ ต้องอยู่หน้าเท่านั้น (แต่เอาไว้หลัง verb ได้ เช่น I want to learn more about this.)
(2) การจะทำให้ easy เป็นขั้นกว่า เราต้องผัน easy เป็น easier ครับ (กฏบอกว่า ให้ใช้ more นำหน้าเฉพาะ adjective ยาวๆ เช่น comfortable)
บทเรียน ต้องเข้าใจ grammar เรื่องการเปรียบเทียบ (comparison) ทราบแค่ศัพท์ไม่พอครับ
*********************************************
4) "แม้ว่า........แต่" บางคนชอบแปลแบบ word for word ว่า "Although......but.........." เช่น
Although she is rich but she is selfish.
หากมองประโยคนี้แบบผิวเผิน เหมือนไม่มีอะไรผิดหลักไวยากรณ์ แต่ "สูตร" เขากำหนดมาแล้วว่า หากใช้ Although ห้ามใช้ but เด็ดขาด ดังนั้นประโยคที่ถูกต้อง คือ
Although she is rich, she is selfish. ไม่มี but นะครับ
บทเรียน ควรจำโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษให้ได้
*********************************************
5) "ที่นี่ฝนตกบ่อย" คนไทยมักพูดว่า "It's often raining here"
ประโยคนี้ก็เช่นกัน ดูแล้วไม่น่าผิดไวยากรณ์ แต่จริงๆ ผิดในเรื่องของ tense ครับ
often แปลว่า บ่อย มักจะใช้กับ Past หรือ Present Tense เพื่อใช้อธิบายเหตุการณ์ที่ทำบ่อยในอดีตหรือในปัจจุบัน
I often miss the bus. ผม