3.2. Intervention Trials3.2.1. Stud

3.2. Intervention Trials
3.2.1. Studies Showing Correlation between Maternal and Foetal Vitamin D Status
Five hundred and six pregnant women were given 400 IU (10µg) of vitamin D per day from about the 12th week of pregnancy until delivery. A control group of 633 pregnant women was given a placebo. Maternal vitamin D was measured at the 24th and 34th weeks of pregnancy and at delivery and infant vitamin D was measured in umbilical blood at birth and on the sixth day following birth. Plasma concentrations of 25(OH)D, which showed a seasonal variation, was higher in mothers and infants in the treated group. Cord-blood 25(OH)D correlated with maternal values at delivery. A defect of dental enamel was found in a high proportion of infants (many of whom had suffered from hypocalcaemia) born to the control women. These results suggest that vitamin D supplementation during pregnancy would be beneficial for mothers, whose intake from diet and skin synthesis is appreciably less than 500 IU of vitamin D daily.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

3.2. การขัดจังหวะโดยการทดลอง3.2.1. ศึกษาการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมารดา และทารกในครรภ์วิตามินดีสถานะ หญิงมีครรภ์ห้าร้อย และหกได้รับ 400 IU (10µg) ของวิตามินต่อวันจากประมาณสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์จนถึงการจัดส่ง หญิงตั้งครรภ์ที่ 633 ในกลุ่มควบคุมได้รับยาหลอก แม่วิตามิน D ที่มีวัดในครั้งที่ 34 และ 24 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ และส่ง และมีวัดเด็กวิตามินดีในเลือด umbilical ที่เกิด และ ในวันหกไปเกิด เข้มข้นของ D (OH) 25 ซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ถูกที่สูงขึ้นในมารดาและทารกในกลุ่มบำบัด สายเลือด 25 (OH) D ความสัมพันธ์กับค่าแม่ที่จัดส่ง พบข้อบกพร่องของฟันในสัดส่วนสูงของทารก (จำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจาก hypocalcaemia) เกิดมาเพื่อผู้หญิงควบคุม ผลลัพธ์เหล่านี้แนะนำว่า วิตามินดีเสริมในระหว่างตั้งครรภ์จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ บริโภคจากอาหาร และผิวหนังสังเคราะห์ส่ง น้อยกว่า 500 IU วิตามินดีทุกวัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

3.2 ทดลองการแทรกแซง
3.2.1 ศึกษาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่และทารกในครรภ์วิตามิน D สถานะ
ห้าร้อยหกหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับ 400 IU (10μg) ของวิตามินดีต่อวันจากประมาณสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์จนถึงการส่งมอบ กลุ่มควบคุม 633 หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาหลอก มารดาวิตามินดีวัดที่สัปดาห์ที่ 24 และ 34 ของการตั้งครรภ์และการส่งมอบและวิตามิน D ทารกวัดในเลือดสายสะดือที่เกิดและในหกเดือนปีเกิดวันรุ่งขึ้น ความเข้มข้นของพลาสม่า 25 (OH) D ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลเป็นที่สูงขึ้นในมารดาและทารกในกลุ่มได้รับการรักษา สายเลือด 25 (OH) D มีความสัมพันธ์กับค่าของมารดาในการจัดส่ง ข้อบกพร่องของเคลือบฟันทันตกรรมที่พบในสัดส่วนที่สูงของทารก (หลายคนได้รับความเดือดร้อนจากแคลเซี่ยมในเลือดต่ำ) เกิดมาเพื่อผู้หญิงควบคุม ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการเสริมวิตามินดีในระหว่างตั้งครรภ์จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่รับประทานซึ่งจากอาหารและการสังเคราะห์ผิวประเมินน้อยกว่า 500 IU ของวิตามินดีในชีวิตประจำวัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

3.2 . การทดลองการแทรกแซงดำเนินงาน . การศึกษาแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและวิตามิน D foetal สถานะท้องห้าแสนหกผู้หญิงได้รับ 400 IU ( µ 10 กรัม ) ของวิตามิน D วันละประมาณ 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ จนกระทั่งคลอด กลุ่มควบคุมมีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับยาหลอก วิตามิน D ของมารดาถูกวัดที่ 24 และ 34 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์และทารกที่คลอดและวิตามิน D ในเลือดวัดสายสะดือที่คลอด และในวันที่ 6 ตามวันเกิด ความเข้มข้นของพลาสมาที่ 25 ( OH ) D , ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากฤดูกาล พบในมารดาและทารกแรกเกิดในกลุ่มที่ได้รับสารสกัด เลือดสาย 25 ( OH ) D มีความสัมพันธ์กับค่าของแม่คลอด ข้อบกพร่องของเคลือบฟันที่พบในสัดส่วนที่สูงของเด็กทารก ( หลายคนได้รับความเดือดร้อนจาก hypocalcaemia ) เกิดมาเพื่อผู้หญิงคุม ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าวิตามิน D เสริมในระหว่างตั้งครรภ์จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่มีการบริโภคอาหารผิวที่ได้จากการสังเคราะห์ น้อยกว่า 500 IU ของวิตามินดีทุกวัน