Context clues are hints that an aut

Context clues are hints that an author gives to help define a difficult or unusual word. The clue may appear within the same sentence as the word to which it refers, or it may follow in a preceding sentence. Because most of one's vocabulary is gained through reading, it is important that you be able to recognize and take advantage of context clues. There are at least four kinds of context clues that are quite common: 1) a synonym (or repeat context clue) which appears in that sentence; 2) an antonym (or contrast context clue) that has the opposite meaning, which can reveal the meaning of an unknown term; 3) an explanation for an unknown word is given (a definition context clue) within the sentence or in the sentence immediately preceding; and 4) specific examples (an example context clue) used to define the term. There may also be word-part context clues in which a common prefix, suffix, or root will suggest at least part of the meaning of a word. A general sense context clue lets the reader puzzle out a word meaning from whatever information is available - and this is the most common kind of context clue. Others describe context clues in three ways: 1) semantic or meaning clues, e.g., When reading a story about cats, good readers develop the expectation that it will contain words associated with cats, such as "tail," "purr," "scratch," and "whiskers"; 2) syntactic or word order clues where the order of the words in a sentence can indicate that a missing word must be (for example, a verb); and 3) picture clues where illustrations help with the identification of a word.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

บริบทข้อมูลคำแนะนำที่ผู้เขียนให้ช่วยกำหนดคำยาก หรือผิดปกติ ได้ เงื่อนงำอาจปรากฏในประโยคเดียวกันเป็นคำที่มันอ้างอิง หรือจะตามในประโยคก่อนหน้านี้ เนื่องจากส่วนใหญ่ของคำศัพท์จะได้รับผ่านการอ่าน เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะสามารถรับรู้ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลบริบท มีปมบริบททั่วไปค่อนข้างน้อยสี่ชนิด: 1) เหมือน (หรือปมเนื้อหาซ้ำ) ซึ่งปรากฏในประโยคนั้น 2) เป็นคำตรงข้าม (หรือตั้งใจบริบทความคมชัด) ที่มีความหมายตรงกันข้าม ซึ่งสามารถแสดงความหมายของคำไม่รู้จัก 3) อธิบายคำที่ไม่รู้จักได้ (นิยามบริบทปม) ภาย ในประโยค หรือประโยคก่อน และ 4) เฉพาะตัวอย่าง (ตัวอย่างบริบทงำ) ใช้ในการกำหนดระยะเวลาการ นอกจากนี้ยังอาจมีปมส่วนคำบริบททั่วไปนำหน้า ท้าย หรือรากจะแนะนำที่เป็นส่วนหนึ่งของความหมายของคำ บริบทความตั้งใจให้ผู้อ่านปริศนาออกความหมายคำใดมีข้อมูล - และเป็นชนิดทั่วไปของปมบริบท คนอื่นอธิบายบริบทปมในสามวิธี: 1) ความหมาย หรือหมายถึงปม เช่น เมื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแมว อ่านดีพัฒนาความคาดหวังว่า มันจะประกอบด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับแมว เช่น "หาง "พัว "ลบ" และ "หนวด" 2 ทางไวยากรณ์ หรือปมคำสั่งที่ลำดับของคำในประโยคสามารถบ่งชี้ว่า คำที่หายไปต้องเป็น (ตัวอย่าง คำกริยา); และ 3) ภาพปมที่ภาพประกอบช่วย ด้วยรหัสของคำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

บริบทเป็นคำแนะนำที่จะช่วยให้ผู้เขียนเพื่อช่วยกำหนดคำยากหรือที่ผิดปกติ เงื่อนงำอาจปรากฏในประโยคเดียวกันเป็นคำซึ่งหมายถึงหรือมันอาจตามมาในประโยคก่อนหน้า เพราะส่วนใหญ่ของคำศัพท์หนึ่งคือได้รับจากการอ่านเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะสามารถรับรู้และใช้ประโยชน์จากบริบท มีอย่างน้อยสี่ชนิดของบริบทที่ค่อนข้างบ่อยคือ 1) คำพ้องความหมาย (หรือทำซ้ำเบาะแสบริบท) ซึ่งจะปรากฏในประโยคที่มิ 2) ตรงข้าม (หรือเบาะแสบริบททางตรงกันข้าม) ที่มีความหมายตรงข้ามซึ่งสามารถที่จะเปิดเผยความหมายของคำที่ไม่รู้จัก; 3) คำอธิบายสำหรับคำที่ไม่รู้จักจะได้รับ (นิยามเบาะแสบริบท) ภายในประโยคหรือในประโยคก่อน; และ 4) ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจง (เงื่อนงำเช่นบริบท) ใช้ในการกำหนดระยะ นอกจากนี้ยังอาจจะมีบริบทคำที่มีส่วนร่วมในคำนำหน้าร่วมกันต่อท้ายหรือรากจะแนะนำอย่างน้อยส่วนหนึ่งของความหมายของคำว่า เงื่อนงำบริบทความหมายทั่วไปช่วยให้ผู้อ่านปริศนาจากความหมายคำว่าจากข้อมูลที่มีอยู่สิ่งที่อยู่ - และนี่คือชนิดที่พบบ่อยที่สุดของเบาะแสบริบท อื่น ๆ อธิบายบริบทในสามวิธี: 1) ความหมายหรือเบาะแสความหมายเช่นเมื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแมวผู้อ่านที่ดีในการพัฒนาความคาดหวังว่ามันจะมีคำที่เกี่ยวข้องกับแมวเช่น "หาง", "เสียงฟี้อย่างแมว", "รอยขีดข่วน "และ" หนวด "; 2) ประโยคหรือปมคำสั่งที่สั่งซื้อของคำในประโยคสามารถระบุได้ว่าเป็นคำที่ขาดหายไปจะต้อง (เช่นคำกริยา); และ 3) ปมภาพภาพประกอบที่ช่วยให้มีบัตรประจำตัวของคำว่า

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ประเด็นบริบทเป็นคำแนะนำที่ผู้เขียนให้มาช่วยกำหนดยาก หรือคำที่ผิดปกติ เค้าอาจจะปรากฏในประโยคเดียวกันเป็นคำที่อ้างถึง หรืออาจติดตามในหน้าประโยค เพราะส่วนใหญ่ของคำศัพท์จะได้รับผ่านการอ่าน มันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณสามารถรับรู้และใช้ประโยชน์จากข้อมูลบริบทมีอย่างน้อยสี่ชนิดของบริบทที่ค่อนข้างทั่วไป : 1 ) คำที่เกี่ยวข้อง ( หรือเบาะแสบริบทย้ำ ) ซึ่งปรากฏในประโยคที่ 2 ) เป็นคำที่มีความหมายตรงกันข้าม ( หรือเบาะแสบริบทคมชัด ) ที่มีความหมายตรงกันข้ามซึ่งสามารถเปิดเผยความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้จัก ; 3 ) คำอธิบายสำหรับคำที่ไม่รู้จัก จะได้รับ ( บริบทความหมายเบาะแส ) ในประโยคหรือในประโยคทันทีก่อน ;4 ) ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจง ( เช่นบริบทเบาะแส ) ใช้ในการกำหนดระยะ มันยังอาจเป็นคำส่วนบริบทที่พบคำนำหน้า , คำต่อท้ายหรือรากจะแนะนำอย่างน้อยส่วนหนึ่งของความหมายของคำ ความรู้สึกทั่วไปว่าบริบทช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของคำ จากข้อมูลที่สามารถใช้ได้ - และนี้เป็นชนิดที่พบมากที่สุดของเงื่อนงำที่บริบทคนอื่นอธิบายประเด็นบริบทใน 3 วิธี : 1 ) ความหมายหรือความหมาย ประโยชน์ เช่น เมื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแมว ผู้อ่านที่ดีพัฒนาความคาดหวังว่ามันจะมีคำที่เกี่ยวข้องกับแมว เช่น " หาง " , " เสียง " เกา " และ " หนวด " ; 2 ) ประโยคคําสั่งหรือเบาะแส ที่คำสั่งของคำพูดในประโยคสามารถบ่งชี้ว่าคำที่หายไปต้อง ( ตัวอย่างเช่นคำกริยา )และ 3 ) ภาพเบาะแสที่ภาพประกอบช่วยระบุคำ