การทำงานของความเชื่อในชีวิต
 ความเชื่อ คือการยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์ ต่อพลังอำนาจเหนือ ธรรมชาติ ความเชื่อเป็นธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกรูปทุกนาม สิ่งที่มนุษย์ได้ สัมผัสทางใดทางหนึ่งจากจิตสัมผัสทั้ง ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) เป็นต้นเหตุความเชื่อ คือการยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์ ต่อพลังอำนาจเหนือ ธรรมชาติ ความเชื่อเป็นธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกรูปทุกนาม สิ่งที่มนุษย์ได้ สัมผัสทางใดทางหนึ่งจากจิตสัมผัสทั้ง ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) เป็นต้นเหตุของ ความเชื่ออันเป็นสัญญาเจตนา เมื่อเกิดการเพาะบ่มความเชื่อโดยอาศัยสิ่งแวดล้อมที่ได้สัมผัสเป็นประจำ เป็นเครื่องช่วยให้ความเชื่อเจริญเติบโต จึงเกิดรูปเกิดสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเกิดความเชื่อในรูปแบบความเชื่อที่เป็นรูปธรรม และความเชื่อที่เป็นนามธรรมของ ความเชื่ออันเป็นสัญญาเจตนา
 การทำงานของความเชื่อนั้นเราต้องรู้ว่า เราต้องมีความศรัทธาให้ทราบว่าชีวิตสามารถนิยามได้หลายอย่าง เช่น การดำรงอยู่ หรือเป็นการดำเนินชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นร้น ขวนขวายเรียนรู้และและพัฒนาตนเองไปในทางที่ดี เพื่อ หรือ อาจเป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆและเผชิญกับปัญหามี่มากเพื่อที่ จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายสูงสุด ของชีวิต และทุกอย่างนั้น ทำให้ความเชื่อเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด และยังทำให้ทุกสิ่งทำให้เรารู้ว่าเมื่อเรารู้ถึงความจริงของชีวิต ยังต้องมีความเชื่อ ที่ทำให้เรารู้ว่า ความจริงนั้นเกิดขึ้นอย่างไร
 การทำงานของความเชื่อในชีวิตของหนูนั้น หนูคิดว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตของหนู เพราะหนูเป็น คริสเตียน เพราะว่าหนูเชื่อว่าการจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ตาม หนูต้องมีความเชื่อในพระเจ้า ให้พระองค์ ที่จะทรงนำหนู
ในการดำเนินชีวิตที่ดี เดินในทางของพระองค์ และทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อหนูมีความเชื่อทุกอย่างที่คิดว่าหนูทำไม่ได้ก็สามารถทำได้เช่น การเรียน ที่ยาก การสอบ ที่หนูทำไดนั้นเพราะหนู เชื่อและวางใจในพระองค์ ความเชื่อทำให้หนูรู้ว่าเวลาที่ทุกข์ใจอยู่นั้น ยังมีคนหนึ่งที่ค่อยให้กำลังใจหนูเสมอคือพระเจ้า พระองค์ทรงรักหนูและยังเป็นทั้งเพื่อน พ่อแม่ ของหนูทำให้หนูมีกำลังใจ กล้าหาญ กล้าที่จะต่อสู้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน และกล้าที่จะรับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการนำนมัสการ การประกาศเรื่องราวของพระเจ้า กับคนอื่นๆ และความเชื่อทำให้หนูเข้มแข็ง มีความอดทน เมื่อหนูเจอปัญหาที่ยาก ไม่สามารถหาทางออกได้ แต่หนูเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงให้ทางออกแก่หนูเสมอ หนูเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงดูแลและเลี้ยงดูหนู อย่างขาดสาย และเชื่อว่าพระเจ้าทรงสอนให้หนูที่จะรู้จักการให้ การช่วยเหลือเพื่อนๆ และรู้จักว่าสิ่งใดผิดหรือถูกต้อง การให้อภัยแก่คนอื่นที่เขาได้ทำผิดกับหนู
 ในมุมมองของเราคือความความเชื่อ ดีกว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพราะความเชื่อนั้น ทำให้เราได้รู้ในหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต และความเชื่อนั้นจึงมีอิทธิพลสามารถเปลี่ยนแปลงเรา และความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้แต่สัมผัสได้ เป็นสิ่งที่ล้ำลึกเกินความเข้าใจและความคิดของเราทุกคน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ด้วยความเชื่อทางศาสนามีลักษณะที่แตกต่าง ระหว่างความคิด ตามหลักฐาน ดังนั้นความเชื่อในลัทธิต่างๆ ศาสนา คือการสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างมนุษย์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งมนุษย์เชื่อว่าสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือวิถีทางของธรรมชาติและวิถีชีวิตของมนุษย์ ศาสนาตามทัศนะทางมานุษยวิทยาจึงบ่งบอกถึงการขยายความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ ออกไปสู่ความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอำนาจเหนือมนุษย์และธรรมชาติ ดังนั้นศาสนาและความเชื่อทางศาสนาจึงเป็นสิ่งสากลที่เราพบเห็นได้ในทุกสังคมตลอดมาทุกยุคทุกสมัย ศาสนาอาจจัดว่าเป็นวัฒนธรรมทางนามธรรมที่มีผลต่อการสร้างวัฒนธรรมทางรูปธรรม การทำความเข้าใจศาสนาจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แรกเริ่มทีเดียวศาสนาและความเชื่อถือกำเนิดจากความกลัว ความต้องการความมั่นคงทางจิตใจ และความสงสัยในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบมนุษย์ ทำให้มนุษย์นั้นจึงต้อง มีความเชื่อและศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
 ความเชื่อเป็นพื้นฐานให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ทั้งด้านดีและด้านร้ายธรรมดาคนเราจะมีความเชื่อและความไม่เชื่อเป็นของคู่กัน คือระหว่างความศรัทธา และไม่ศรัทธา คนที่มีความศรัทธา คือศรัทธาที่หวั่นไหวและศรัทธาที่ มั่นคงไม่หวั่นไหว ดังนั้น การจะกำหนดให้แต่ละบุคคลเชื่ออย่างเดียวกันย่อมทำได้ยาก เพราะความเชื่อที่ให้ผลตรงกันข้ามก็มี และความไม่เชื่อ เกิดผลไปอีกแนวหนึ่งก็มี ความเชื่อนั้นมีการทำงานในชีวิตของแต่ละคน มีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนจะเชื่อและศรัทธาในใด