Wallonia was also the birthplace of

Wallonia was also the birthplace of a strong Socialist party and strong trade-unions in a particular sociological landscape. At the left, the Sillon industriel, which runs from Mons in the west, to Verviers in the east (except part of North Flanders, in another period of the industrial revolution, after 1920). Even if Belgium is the second industrial country after Britain, the effect of the industrial revolution there was very different. In 'Breaking stereotypes', Muriel Neven and Isabelle Devious say:

The industrial revolution changed a mainly rural society into an urban one, but with a strong contrast between northern and southern Belgium. During the Middle Ages and the Early Modern Period, Flanders was characterised by the presence of large urban centres (...) at the beginning of the nineteenth century this region (Flanders), with an urbanisation degree of more than 30 per cent, remained one of the most urbanised in the world. By comparison, this proportion reached only 17 per cent in Wallonia, barely 10 per cent in most West European countries, 16 per cent in France and 25 per cent in Britain. Nineteenth century industrialisation did not affect the traditional urban infrastructure, except in Ghent (...) Also, in Wallonia the traditional urban network was largely unaffected by the industrialisation process, even though the proportion of city-dwellers rose from 17 to 45 per cent between 1831 and 1910. Especially in the Haine, Sambre and Meuse valleys, between the Borinage and Liège, where there was a huge industrial development based on coal-mining and iron-making, urbanisation was fast. During these eighty years the number of municipalities with more than 5,000 inhabitants increased from only 21 to more than one hundred, concentrating nearly half of the Walloon population in this region. Nevertheless, industrialisation remained quite traditional in the sense that it did not lead to the growth of modern and large urban centres, but to a conurbation of industrial villages and towns developed around a coal-mine or a factory. Communication routes between these small centres only became populated later and created a much less dense urban morphology than, for instance, the area around Liège where the old town was there to direct migratory flows.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Wallonia เป็นแหล่งกำเนิดของพรรคสังคมนิยมแข็งแกร่งและสหภาพการค้าที่แข็งแกร่งในแนวสังคมวิทยาการเฉพาะด้วย ที่ด้านซ้าย การ industriel Sillon ที่ทำงานจากมอนส์ในตะวันตก การ Verviers ในตะวันออก (ยกเว้นส่วนของฟลานเดอร์เหนือ ในระยะเวลาหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรม หลัง 1920) แม้ว่าเบลเยี่ยมเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่สองหลังจากสหราชอาณาจักร ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีไม่แตกต่างกันมาก ใน 'ทำลายตน' Muriel Neven และ Isabelle Devious พูดว่า:การปฏิวัติอุตสาหกรรมการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในเมือง แต่ที่จ้าระหว่างเหนือ และใต้ประเทศเบลเยียม ลักษณะฟลานเดอร์ในช่วงยุคกลางและยุคต้น อย่างใหญ่ย่านใจกลางเมือง (...) เมื่อต้นศตวรรษ นี้ภูมิภาค (ฟลานเดอร์), กับการศึกษาของของมากกว่าร้อยละ 30 ยังคงเป็นหนึ่ง urbanised ที่สุดในโลก โดยการเปรียบเทียบ สัดส่วนนี้ถึงเพียงร้อย ละ 17 Wallonia แทบ ร้อยละ 10 ในประเทศยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ ร้อยละ 16 ในฝรั่งเศส และ 25 เปอร์เซ็นต์ในสหราชอาณาจักร คริสต์ศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมไม่มีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานในเมืองทางแบบดั้งเดิม ยกเว้นในเกนต์ (...) นอกจากนี้ ใน Wallonia ดั้งเดิมเมืองเครือข่ายที่เป็นส่วนใหญ่รับผลกระทบจากกระบวนการอุตสาหกรรม แม้ว่าสัดส่วนของประชาชนเพิ่มขึ้นจาก 17 ไป 45 เปอร์เซ็นต์ระหว่าง 1831 และ 1910 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Haine, Sambre และ Meuse หุบเขา Borinage และ Liège ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อิงจากเหมืองถ่านหิน และเหล็กทำ ของได้อย่างรวดเร็ว ในระหว่างปี 80 จำนวนเทศบาลมีมากกว่า 5,000 คนเพิ่มขึ้นจากเพียง 21 มากกว่าหนึ่งร้อย มุ่งเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรวัลลูนในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงแบบดั้งเดิมค่อนข้างในรู้สึกว่ามันไม่ได้นำ การเจริญเติบโตของศูนย์ในเมืองใหญ่ และทันสมัย แต่ การ conurbation ของหมู่บ้านอุตสาหกรรมและเมือง พัฒนาถ่านหินเหมืองหรือโรงงาน เส้นทางสื่อสารระหว่างศูนย์เล็กเหล่านี้เท่านั้นเป็นบรรจุในภายหลัง และสร้างสัณฐานวิทยาเมืองหนาแน่นน้อยกว่า เช่น บริเวณที่เมืองเก่ามีตรงกระแสอพยพ Liège

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

Wallonia ก็ยังเป็นบ้านเกิดของพรรคสังคมนิยมที่แข็งแกร่งและแข็งแรงค้ายูเนี่ยนในภูมิทัศน์ทางสังคมวิทยาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ด้านซ้ายที่ Industriel Sillon ซึ่งไหลจากมอนส์ทางทิศตะวันตกเพื่อ Verviers ในภาคตะวันออก (ยกเว้นส่วนหนึ่งของนอร์ทเดอร์สในช่วงเวลาของการปฏิวัติอุตสาหกรรมอื่นหลังจากที่ 1920) แม้ว่าเบลเยี่ยมเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่สองหลังจากที่สหราชอาณาจักรที่มีผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีแตกต่างกันมาก ในแบบแผนทำลาย 'มิวเรียลเฟนและอิสซาเบลคดเคี้ยวกล่าวว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทส่วนใหญ่เป็นเมืองหนึ่ง แต่มีความแตกต่างสูงระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศเบลเยียม ในช่วงยุคกลางและงวดก่อนสมัย, ลานเดอร์ก็มีลักษณะการปรากฏตัวของเมืองขนาดใหญ่ ( ... ) ที่จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่สิบเก้าภูมิภาคนี้ (ลานเดอร์) ที่มีระดับการพัฒนาเมืองกว่าร้อยละ 30 ยังคงอยู่ หนึ่งในลักษณะมากที่สุดในโลก โดยเปรียบเทียบสัดส่วนนี้ถึงเพียงร้อยละ 17 ใน Wallonia แทบจะร้อยละ 10 มากที่สุดในประเทศในยุโรปตะวันตกร้อยละ 16 ในประเทศฝรั่งเศสและร้อยละ 25 ในสหราชอาณาจักร อุตสาหกรรมศตวรรษที่สิบเก้าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานในเมืองแบบดั้งเดิมยกเว้นในเกนท์ ( ... ) นอกจากนี้ใน Wallonia เครือข่ายแบบดั้งเดิมในเมืองเป็นส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการอุตสาหกรรมแม้ว่าสัดส่วนของชาวเมืองเพิ่มขึ้น 17-45 เปอร์เซ็นต์ ระหว่าง 1831 และ 1910 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Haine, เบรอมิวส์และหุบเขาระหว่าง Borinage และเจ้าที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับการทำเหมืองถ่านหินและเหล็กทำกลายเป็นเมืองได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจำนวนของเทศบาลที่มีมากกว่า 5,000 คนที่อาศัยอยู่เพิ่มขึ้นจากเพียง 21 ให้มากขึ้นกว่าหนึ่งร้อยจดจ่อเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรวัลลูนในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยังคงค่อนข้างดั้งเดิมในแง่ที่ว่ามันก็ไม่ได้นำไปสู่การเจริญเติบโตของเมืองที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ แต่เพื่อขยายหมู่บ้านอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมืองรอบถ่านหินเหมืองหรือโรงงาน เส้นทางการสื่อสารระหว่างศูนย์ขนาดเล็กเหล่านี้กลายเป็นเพียงประชากรในภายหลังและสร้างสัณฐานวิทยาเมืองหนาแน่นน้อยกว่าตัวอย่างเช่นบริเวณรอบ ๆ ที่เจ้าเมืองเก่าอยู่ที่นั่นโดยตรงกระแสการอพยพย้ายถิ่น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

Wallonia ยังบ้านเกิดของพรรคสังคมนิยมที่แข็งแกร่งและสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งในสังคมโดยเฉพาะแนวนอน ที่ยังเหลือ , sillon industriel ซึ่งวิ่งจากมอนส์ในตะวันตกใน Verviers ทางตะวันออก ( ยกเว้นส่วนของภาคเหนือแฟลนในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมอื่นหลังจาก 1920 ) แม้ว่าเบลเยียมเป็นประเทศที่สอง หลังจากอุตสาหกรรมสหราชอาณาจักร ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีแตกต่างกันมาก ใน " " แบ่ง stereotypes , Muriel แม้ว่าอิซาเบลคดเคี้ยวและพูดว่า :การปฏิวัติอุตสาหกรรมการเปลี่ยนแปลงสังคมส่วนใหญ่ในชนบทในเมืองหนึ่ง แต่กับความคมชัดที่แข็งแกร่งระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของอเมริกา ในช่วงยุคกลางและสมัยใหม่ตอนต้น แฟลนเดอร์คือ characterised โดยการแสดงตนของศูนย์ชุมชนขนาดใหญ่ ( . . . ) ที่จุดเริ่มต้นของศตวรรษที่สิบเก้าของภูมิภาคนี้ ( แฟลนเดอร์ส ) ด้วยการกลายเป็นเมืองระดับมากกว่าร้อยละ 30 ยังคง urbanised มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเปรียบเทียบสัดส่วนนี้ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ใน Wallonia แทบร้อยละ 10 ในประเทศยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ ร้อยละ 16 ในฝรั่งเศส และร้อยละ 25 ในอังกฤษ ศตวรรษที่สิบเก้าอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองแบบดั้งเดิมยกเว้นใน Ghent ( . . . ) นอกจากนี้ ใน Wallonia เครือข่ายเมืองดั้งเดิมส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการอุตสาหกรรม แม้ว่าสัดส่วนของคนในเมืองเพิ่มขึ้นจาก 17 ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ระหว่างอุปกรณ์ และ 1910 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไฮ sambre มิวส์ , และหุบเขา ระหว่าง borinage และลีแยฌ , ซึ่งมีขนาดใหญ่การพัฒนาอุตสาหกรรมบนพื้นฐานของเหมืองถ่านหินและเหล็ก การกลายเป็นเมืองได้อย่างรวดเร็ว . ในช่วงปี 80 เหล่านี้จำนวนเทศบาลที่มีมากกว่า 5 , 000 คน เพิ่มขึ้นจากเพียง 21 มากกว่าหนึ่งร้อย , มุ่งเน้นเกือบครึ่งหนึ่งของวัลลูน ประชากรในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงค่อนข้างดั้งเดิมในความรู้สึกว่ามันไม่ได้นำไปสู่การเจริญเติบโตของสมัยใหม่และศูนย์เมืองใหญ่ แต่จะ conurbation หมู่บ้านอุตสาหกรรมและเมืองพัฒนารอบเหมืองถ่านหิน หรือโรงงาน เส้นทางสื่อสารระหว่างศูนย์ขนาดเล็กเหล่านี้กลายเป็นประชากรในภายหลัง และสร้างน้อยมาก ลักษณะเมืองที่หนาแน่นกว่า เช่น บริเวณรอบ ๆลีแยฌที่เมืองเก่าอยู่ตรงไหลอพยพ