Daphnia ecology and life styleDaphn

Daphnia ecology and life style
Daphnia are filter feeders that direct small suspended particles into their mouth by a water current produced by their leaf-like legs (Figure 1). Daphnia's common name of 'water flea' comes from its jump-like movement, which results from the beat of the large antennae used for swimming (Figure 1). In a normal growth season Daphnia generates diploid eggs by asexual reproduction (partheno-genesis). These eggs develop directly into larvae in the female brood chamber and are released into the water after about 3 days. In most species the larvae go through four to six larval stages before developing into sexually mature adults. However, the Daphnia life cycle is adapted to extreme environmental conditions such as cold winters or summer droughts. If triggered by external stimuli such as high population density and a scarcity of food, Daphnia can produce haploid resting eggs by meiosis; these require fertilization and a period of extended dormancy in order to develop [3]. Resting eggs are distributed by wind or animals and development is resumed in response to external stimuli (for example, rising temperature). Cyclic parthenogenesis, in which parthenogenesis and sexual reproduction alternate, is common in most Daphnia species, but lineages have been described that exclusively reproduce asexually (obligate parthenogenesis). Cyclic parthenogenetic Daphnia must contain the molecular tools for the production of both haploid gametes (by meiosis) and diploid eggs (by mitosis), the latter developing parthenogenetically into diploid zygotes. This makes Daphnia an ideal system to study the evolution of the molecular processes of parthenogenesis.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

Daphnia นิเวศวิทยาและวิถีชีวิตDaphnia are filter feeders that direct small suspended particles into their mouth by a water current produced by their leaf-like legs (Figure 1). Daphnia's common name of 'water flea' comes from its jump-like movement, which results from the beat of the large antennae used for swimming (Figure 1). In a normal growth season Daphnia generates diploid eggs by asexual reproduction (partheno-genesis). These eggs develop directly into larvae in the female brood chamber and are released into the water after about 3 days. In most species the larvae go through four to six larval stages before developing into sexually mature adults. However, the Daphnia life cycle is adapted to extreme environmental conditions such as cold winters or summer droughts. If triggered by external stimuli such as high population density and a scarcity of food, Daphnia can produce haploid resting eggs by meiosis; these require fertilization and a period of extended dormancy in order to develop [3]. Resting eggs are distributed by wind or animals and development is resumed in response to external stimuli (for example, rising temperature). Cyclic parthenogenesis, in which parthenogenesis and sexual reproduction alternate, is common in most Daphnia species, but lineages have been described that exclusively reproduce asexually (obligate parthenogenesis). Cyclic parthenogenetic Daphnia must contain the molecular tools for the production of both haploid gametes (by meiosis) and diploid eggs (by mitosis), the latter developing parthenogenetically into diploid zygotes. This makes Daphnia an ideal system to study the evolution of the molecular processes of parthenogenesis.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

นิเวศวิทยาไรน้ำและวิถีชีวิตของ
ไรน้ำตัวกรองที่เป็นโดยตรงอนุภาคแขวนลอยขนาดเล็กเข้าไปในปากของพวกเขาโดยปัจจุบันน้ำที่ผลิตโดยขาใบเหมือนของพวกเขา (รูปที่ 1) ชื่อสามัญ Daphnia ของ 'น้ำหมัด' มาจากการเคลื่อนไหวกระโดดเหมือนของมันซึ่งเป็นผลมาจากจังหวะของเสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการว่ายน้ำ (รูปที่ 1) ในฤดูกาลที่เจริญเติบโตตามปกติ Daphnia สร้างไข่ซ้ำโดยการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (partheno-กำเนิด) ไข่เหล่านี้พัฒนาโดยตรงเป็นตัวอ่อนในห้องแม่พันธุ์และมีการเปิดตัวไปในน้ำหลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ในสายพันธุ์มากที่สุดตัวอ่อนไปผ่านสี่เพื่อ six ขั้นตอนตัวอ่อนก่อนที่จะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ทางเพศ แต่วงจรชีวิตของไรน้ำจะปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่รุนแรงเช่นฤดูหนาวที่หนาวเย็นหรือภัยแล้งในช่วงฤดูร้อน ถ้าเรียกโดยสิ่งเร้าภายนอกเช่นความหนาแน่นของประชากรสูงและขาดแคลนอาหารแดฟเนียสามารถผลิตไข่พักผ่อนเดี่ยวโดยไมโอซิส เหล่านี้จำเป็นต้องมีการปฏิสนธิและระยะเวลาการพักตัวขยายเพื่อพัฒนา [3] ไข่ที่วางอยู่จะกระจายไปตามลมหรือสัตว์และการพัฒนาจะกลับมาในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก (เช่นอุณหภูมิสูงขึ้น) พาร์ธิ Cyclic ซึ่งในพาร์ธิและการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศสลับกันเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุดสายพันธุ์ไรน้ำ แต่ lineages ได้รับการอธิบายว่าเฉพาะการทำซ้ำเซ็ก (บังคับพาร์ธิ) แดฟเนีย parthenogenetic Cyclic ต้องมีเครื่องมือโมเลกุลสำหรับการผลิตเซลล์สืบพันธุ์ทั้งเดี่ยว (โดยเซลล์ชนิดหนึ่ง) และไข่ซ้ำ (โดยเซลล์) หลังการพัฒนา parthenogenetically เป็น zygotes ซ้ำ นี้จะทำให้ไรน้ำระบบที่เหมาะสำหรับการศึกษาวิวัฒนาการของกระบวนการโมเลกุลของพาร์ธิ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

นิเวศวิทยาและสั่นสะเทือนสั่นสะเทือนสไตล์
ชีวิตจะเป็นตัวดูดกรองอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กที่ตรงเข้าไปในปาก โดยปัจจุบันผลิตน้ำของใบเหมือนขา ( รูปที่ 1 ) ' ชื่อสามัญของน้ำสั่นสะเทือนหมัด ' มาจากการกระโดด เช่น การเคลื่อนไหว ซึ่งผลลัพธ์จากการตีขนาดใหญ่ของเสาอากาศที่ใช้สำหรับว่าย ( รูปที่ 1 )ในฤดูกาลปกติจะเกิดการสั่นสะเทือนไข่โดยการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ( partheno เจเนซิส ) ไข่เหล่านี้พัฒนาโดยตรงในตัวอ่อนในห้องกกหญิง และปล่อยลงไปในน้ำ หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ในชนิดที่สุดผ่านสี่ถึงหกขั้นตอนตัวอ่อน ดักแด้ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่เพศผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามที่สั่นสะเทือนชีวิตวงจรปรับสภาพสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง เช่น ความเย็นของฤดูหนาวหรือฤดูร้อนแล้ง . ถ้าเกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ความหนาแน่นของประชากรสูง และขาดแคลนอาหาร สั่นสะเทือนสามารถผลิตไข่เดี่ยว พักโดยไมโอซิส เหล่านี้ ต้องใช้ปุ๋ยและระยะเวลาการขยายเพื่อพัฒนา [ 3 ]พักไข่จะกระจายโดยลมหรือสัตว์และพัฒนาต่อในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก ( ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ) เป็น พาร์ทีโนเจเนซิสซึ่งในพาร์ทีโนเจเนซิสและการสืบพันธุ์ทางเพศอื่น พบบ่อยในชนิดสั่นสะเทือนมากที่สุด แต่เมื่อได้อธิบายไว้ว่า เฉพาะพันธุ์ asexually ( Obligate พาร์ทีโนเจเนซิส )เป็นต้องมีเครื่องมือ parthenogenetic สั่นสะเทือนโมเลกุลเพื่อการผลิต ทั้งเดี่ยว gametes ( เหม่ง ) และไข่รัง ( ไมโทซิส ) หลังการพัฒนา parthenogenetically เป็นดิพลอยด์ zygotes . ทำให้สั่นสะเทือนเป็นระบบที่เหมาะกับการศึกษาวิวัฒนาการของกระบวนการโมเลกุลของพาร์ทิโนเจเนซิส .