States on the lee, or down wind, si

States on the lee, or down wind, sides of the great lakes receive lake-effect snow every year. For some cities this can push the average snowfall up to 400 inches. During the February storm of this year records were broken for the most snowfall in one storm. For a duration of the storm snow was falling at a rate of six inches or more per hour. Some of the images captured from the event leave some in disbelief that such a thing could even happen. Storms of this magnitude completely shut down all activity. Many areas do not have equipment capable of handling such mass amounts of snow, and even if they do the task is overwhelming. (weather.com 2006)

The concept of lake-effect snow is rather simple. It starts when cold arctic air from Canada moves southwest across the great lakes, which are warmer than the air. As the air moves across the lakes evaporation occurs. The moist air is cooled as it is lifted up and then turned into snow. This snow does not stop until the cold arctic winds stop drifting across the lakes. Hills and valleys on the shore of the lakes intensify the amount of snow an area receives. The shore of the lakes as well as, any hills or valleys, cause the masses of moist air to slow down and “pile up”.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

อเมริกาลี หรือ ลง ลม ด้านของทะเลสาบใหญ่รับหิมะทะเลสาบผลทุกปี บางเมือง นี้สามารถผลักดัน snowfall เฉลี่ยถึง 400 นิ้ว ระเบียนถูกไม่เสียสำหรับ snowfall ส่วนใหญ่ในหนึ่งพายุระหว่างมีพายุกุมภาพันธ์ของปีนี้ สำหรับช่วงเวลาของพายุหิมะตกในอัตรา 6 นิ้วขึ้นไปต่อชั่วโมง บางส่วนของภาพที่บันทึกจากเหตุการณ์ปล่อยบางอย่างใน disbelief ที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ พายุขนาดนี้สนิทลงกิจกรรมทั้งหมด หลายพื้นที่ไม่มีอุปกรณ์ที่สามารถจัดการจำนวนหิมะเช่นมวล และแม้ว่าพวกเขาทำงานมีมากมาย (weather.com 2006) แนวคิดของหิมะทะเลสาบผลจะค่อนข้างง่าย มันเริ่มต้นเมื่ออากาศเย็นขั้วโลกเหนือจากแคนาดาตะวันตกเฉียงใต้ที่ย้ายข้ามทะเลสาบใหญ่ ที่อุ่นกว่าอากาศ เป็นอากาศนั้น ๆ ระเหยทะเลสาบ เกิดขึ้น อากาศชุ่มชื่นระบายความร้อนด้วยการมันถูกยกขึ้น และเปิดแล้ว เป็นสโนว์ หิมะนี้ไม่หยุดจนกว่าอาร์กติกเย็นพิจารณาหยุดลอยข้ามทะเลสาบ เนินเขาและหุบเขาบนฝั่งของทะเลสาบกระชับจำนวนพื้นที่รับหิมะ ชายฝั่งของทะเลสาบตลอดจน ภูเขา หรือหุบ เขา ทำให้มวลของอากาศชุ่มชื่นชะลอ และ "กองไว้"

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สหรัฐอเมริกาในลีหรือลงลมด้านข้างของทะเลสาบที่ดีได้รับหิมะทะเลสาบผลกระทบทุกปี สำหรับบางเมืองนี้สามารถผลักดันหิมะเฉลี่ยได้ถึง 400 นิ้ว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของพายุบันทึกในปีนี้แตกสำหรับปริมาณมากที่สุดในหนึ่งพายุ สำหรับระยะเวลาของหิมะพายุกำลังตกอยู่ในอัตราหกนิ้วหรือมากกว่าต่อชั่วโมง บางส่วนของภาพที่จับจากเหตุการณ์บางอย่างในการปล่อยให้เชื่อว่าสิ่งดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้น พายุของขนาดนี้สมบูรณ์ปิดกิจกรรมทั้งหมด หลายพื้นที่ไม่ได้มีอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการจัดการจำนวนมวลของหิมะดังกล่าวและแม้ว่าพวกเขาจะทำงานเป็นอย่างดี (weather.com 2006) แนวคิดของหิมะทะเลสาบผลกระทบค่อนข้างง่าย มันเริ่มต้นเมื่ออากาศหนาวเย็นจากแคนาดาตะวันตกเฉียงใต้ย้ายข้ามทะเลสาบที่ดีซึ่งเป็นที่อุ่นกว่าอากาศ ขณะที่การเคลื่อนไหวของอากาศทั่วระเหยทะเลสาบที่เกิดขึ้น อากาศชื้นเย็นขณะที่มันถูกยกขึ้นแล้วกลายเป็นหิมะ หิมะนี้จะไม่หยุดจนกว่าลมหนาวเย็นหยุดลอยข้ามทะเลสาบ ภูเขาและหุบเขาบนชายฝั่งของทะเลสาบกระชับปริมาณของหิมะในพื้นที่ได้รับ ชายฝั่งของทะเลสาบเช่นเดียวกับภูเขาหรือหุบเขาทำให้เกิดมวลของอากาศชื้นที่จะชะลอตัวลงและ "กองพะเนินเทินทึกขึ้น"

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สภาพบน ลี หรือ ลง ลมข้างทะเลสาบได้รับผลหิมะทะเลสาบทุกปี สำหรับเมืองนี้สามารถดันหิมะตกเฉลี่ยถึง 400 นิ้ว ในระหว่างพายุเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้มีประวัติเสียสำหรับหิมะที่สุดในพายุ สำหรับระยะเวลาของพายุ หิมะกำลังตกอยู่ในอัตรา 6 นิ้วหรือมากกว่าต่อชั่วโมงบางส่วนของภาพที่ถ่ายจากเหตุการณ์ทิ้ง ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น พายุขนาดนี้สนิทลง กิจกรรมทั้งหมด หลายพื้นที่ไม่มีอุปกรณ์ความสามารถในการจัดการเช่นปริมาณมวลของหิมะ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานเป็นอย่างดี ( weather.com 2006 )

แนวคิดของหิมะ ทะเลสาบ ผลคือค่อนข้างง่ายมันเริ่มเมื่ออากาศหนาวเย็นจากแคนาดาย้ายตะวันตกเฉียงใต้ในทะเลสาบ ซึ่งอุ่นกว่าอากาศ เหมือนอากาศที่ย้ายข้ามทะเลสาบการระเหยเกิดขึ้น ชื้นเย็นเป็นยกขึ้นแล้วกลายเป็นหิมะ หิมะนี้ไม่ได้หยุดจนหนาวเย็น ลมหยุดลอยไปทั่วทะเลสาบเนินเขาและหุบเขาบนชายฝั่งของทะเลสาบกระชับปริมาณของหิมะในพื้นที่ได้รับ ฝั่งของทะเลสาบเช่นเดียวกับใด ๆที่ภูเขาหรือหุบเขา ทำให้มวลของอากาศชื้นจะชะลอตัวลง และ " หมักหมม " .