ท่ามกลางการรณรงค์คัดค้านและรณรงค์เห็นด้วยกับการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบนของเมืองไทยในขณะนี้นั้นพื้นที่อื่นของเมืองไทยที่สัมพันธ์กับพื้นที่ที่จะมีการสร้างเขื่อนโดยเฉพาะในเขตภาคกลางและภาคกลางตอนล่างรวมถึงกรุงเทพด้วยจึงไม่ค่อยมีใครพูดถึง
นั่นหลังจากที่ความรู้สึกหวาดผวาในเรื่องภัยพิบัติจากภัยธรรมชาติ " น้ำท่วม 2554 " สามารถเริ่มซาลงเหลือไว้เพียงความหวาดกลัวรายปีจนกลายเป็นความปกติของความกลัวไปโดยเฉพาะพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางที่ได้รับผลกระทบประจำทุกปีอย่างเช่นพื้นที่อยุธยาสุพรรณบุรีอ่างทองกรุงเทพและปริมณฑลซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพื้นที่ดังกล่าวนี้เป็นพื้นที่รับน้ำสุ่มเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่ วมเป็นประจำทุกปี
เมื่อมีการพูดถึงผลกระทบของเขื่อนแม่วงก์แต่ไม่มีการพูดถึงปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งกระทั่งปัญหาน้ำทะเลหนุนน้ำเค็มไหลย้อนเข้ามาตามแม่น้ำเจ้าพระยาจึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งเพราะทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงกันในส่วนของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่สำคัญโครงการบริหารจัดการน้ำของเมืองไทยไม่ได้มองเชื่อมโยงถึงระบบผังเมืองโครงการก่อสร้างและโครงการระบบขนส่งมวลชนที่เป็นโครงการขนาดใหญ่เช่นรถไฟฟ้ารางรถไฟคู่ขนานหรือโครงการรถไฟความเร็วสูง
ถามว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์น้ำอย่างไรคำตอบก็คือหากกรุงเทพและพื้นที่ปริมณฑลเกิดมีปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้งและเรื้อรังจะมิกลายเป็นว่าเมกกะโปรเจคท์เหล่านี้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่าไปดอกหรือ ?
เมื่อไม่นานมานี้ที่องค์การบริหารอวกาศและการบินของสหรัฐ ( นาซา ) ได้แสดงให้เห็นว่าบริเวณใดบ้างของโลกจะมีปัญหาน้ำทะเลท่วมในอนาคตอีกประมาณ 20 . โดยโครงการวิจัย ระดับน้ำสูงของนาซาได้ทำสำเร็จลงแล้วแผนที่ ( เบต้า )
( ดูประกอบ : งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยฮาวายมาเนาพยากรณ์น้ำจะท่วมในแถบประเทศเขตร้อน - โซนร้อนหลายประเทศบางประเทศสถานการณ์อาจมาถึงเร็วแค่ปี 2020
http://www.pbs.org/newshour/rundown/2013/10/the-new-climate-normal-coming-soon-to-a-city-near-you.html )
ความหมายก็คือองค์การนาซาได้เปลี่ยนแผนที่โลกเสีย