จากสถานการณ์ทางการเมืองของยูเครนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการโค่นล้มประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ที่ปฏิเสธการลงนามความร่วมมือในการนำยูเครนเข้าเป็นชาติสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียู ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวยูเครนที่สนับสนุนชาติตะวันตกผนึกกำลังกับพรรคฝ่ายค้านรวมตัวชุมนุมเดินขบวนประท้วงรัฐบาลซึ่งไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ จนนำไปสู่เหตุการณ์สังหารหมู่ทางการเมืองเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2014 ทำให้ประธานาธิบดียานูโควิช ต้องลี้ภัยไปยังไครเมีย บรรยากาศตึงเครียดทางการเมืองของยูเครนจึงย้ายจากกรุงเคียฟ (Kiev) ไปอยู่ที่ไครเมีย และเป็นจุดเริ่มต้นของรัสเซียที่เข้ามาดำเนินกระบวนการผนวกไครเมียให้เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
หลังจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างรัฐบาลกับผู้เดินขบวนประท้วงจนเกิดการนองเลือดและล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดขบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยในระดับนานาชาติ อันมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข่นฆ่ากันระหว่างสองฝ่ายที่มีกำลังและสรรพวุธพร้อมมือ โดยกลุ่มรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกในอียู จำนวนหนึ่งเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาได้ข้อยุติให้ประธานาธิบดียานูโควิชดำรงตำแหน่งต่อไป ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นการทอนอำนาจของประธานาธิบดียานูโควิชให้เหลือเพียงอำนาจในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารอย่างนายกรัฐมนตรี รวมทั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ และปล่อยตัวนางยูลิยา ทีโมเซงโก (Yulia Tymoshenko) อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงผู้มีบทบาทในพรรค Fatherland ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีแนวทางการดำเนินนโยบายมุ่งเน้นให้การสนับสนุนชาติตะวันตก
ผลการเจรจาไกล่เกลี่ยของตัวแทนรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศในสหภาพยุโรป ดูเสมือนว่า สถานการณ์ทางการเมืองในยูเครนน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อข้อตกลงดังกล่าวกำลังเตรียมนำเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบของรัฐสภาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในยูเครนน่าจะคลี่คลายเป็นในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะอำนาจทางการบริหารได้ตกมาอยู่ในมือของฝ่ายที่สนับสนุนชาติตะวันตก แต่การรุกคืบของกลุ่มผู้ประท้วงได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ข้อยุติที่ได้จากการเจรจาไกล่เกลี่ยเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เมื่อการประชุมสภามีมติปลดประธานาธิบดียานูโควิชพ้นจากตำแหน่ง พร้อมทั้งเตรียมจับกุม เพื่อนำตัวส่งขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในข้อหาสังหารหมู่ผู้ชุมนุมประท้วง มติดังกล่าวกลับพลิกสถานการณ์ทางการเมืองให้เกิดความรุนแรงอีกครั้ง เมื่อพลเมืองไครเมียที่มีประวัติศาสตร์ผูกพันกับรัสเซียไม่ต้องการอยู่กับยูเครนอีกต่อไป และเข้ามาประท้วงสนับสนุนให้ไครเมียแยกตัวออกจากยูเครน จึงเป็นการเปิดช่องให้รัสเซียเข้ามาเดินเกมทางการเมืองกับยูเครน
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเกิดพลิกผันจากแรงสนับสนุนของพลเมืองไครเมียที่ผูกพันกับรัสเซียและต้องการผลักตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทำให้โอกาสการเดินเกมทางการเมืองในยูเครนกลับมาอยู่ในอุ้งมือของประธานาธิบดียานูโควิชซึ่งลี้ภัยไปยังไครเมีย โดยการสนับสนุนจากรัสเซีย และถือเป็นปฏิบัติการเริ่มต้น เปิดฉากกระบวนการเข้ายึดครองไครเมียของรัสเซีย เมื่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) สนับสนุนกองกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้บุกเข้ายึดสถานที่ราชการและสนามบินไว้เบ็ดเสร็จ พร้อมกับรุกต่อด้วยกระบวนการทางรัฐสภาเพื่อให้รับรองบทบาทของรัสเซีย รวมทั้งจัดให้มีการลงประชามติผนวกดินแดนไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
การดำเนินกระบวนการยึดครองไครเมียของรัสเซียจุดประเด็นให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา (Barack Obama) ต้องต่อสายโทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีปูตินให้ถอนกำลังทหารรัสเซียออกจากไครเมีย และมองว่าการเดิมเกมของรัสเซียเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการต่อสายคุยกันระหว่างสองชาติมหาอำนาจไม่ได้ข้อยุติ เพราะรัสเซียกลับตอกย้ำสหรัฐอเมริกาว่า รัสเซียและสหรัฐอเมริกาไม่ควรต้องตกมาเป็นเหยื่อของความเห็นที่ไม่ตรงกัน ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวถือเป็นการงัดข้อกันระหว่างรัสเซียกับชาติอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่พยายามเข้ามาเดินเกมเพื่อรักษาเอกราชให้แก่ยูเครนด้วย
สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปพยายามกดดันให้ประธานาธิบดีปูตินยกเลิกการลงประชามติ มิฉะนั้นจะใช้มาตรการตอบโต้รัสเซียที่กระทำการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและยึดครองดินแดนของยูเครน แต่ดูเหมือนคำขู่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัสเซียซึ่งยังคงสนับสนุนรัฐบาลไครเมียให้เดินหน้าจัดการลงคะแนนเสียงประชามติ โดยให้พลเมืองไครเมียมีสิทธิเลือก 2 แนวทาง ประกอบด้วย 1) เห็นด้วยกับการให้ไครเมียกลับไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และ 2) เห็นด้วยกับการรื้อฟื้นรัฐธรรมนูญปี ค.ศ.1992 และสถานะของไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน
เมื่อการลงประชามติเสร็จสิ้นลง ปรากฏผลคะแนนว่า พลเมืองไครเมียให้การสนับสนุนไครเมียแยกตัวออกมาเป็นรัฐเอกราชและต้องการกลับไปเข้าร่วมกับรัสเซียด้วยคะแนนสูงถึง 96.77% ประกอบกับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของสหพันธรัฐรัสเซีย พร้อมใจกันลงมติเห็นชอบผนวกรวมดินแดนไครเมียให้เป็น ส่วนหนึ่งของรัสเซียด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นเป็นเอกฉันท์ พร้อมกับส่งร่างกฎหมายให้ประธานาธิบดีปูติน ลงนามอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2014 ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองของไครเมียภายใต้เบื้องหลังการสนับสนุนของประธานาธิบดีปูติน
การแสดงบทบาทของรัสเซียต่อปรากฎการณ์ทางการเมืองไครเมีย ถือเป็นการผงาดของรัสเซียอีกครั้ง และประกาศศักดาให้โลกรู้ว่า ท่าทีของรัสเซียในครั้งนี้เป็นการท้าทายอภิมหาอำนาจโลก โดยรัสเซียจะไม่ยอมเสียดินแดนภายใต้อาณัติสมัยสหภาพโซเวียตไปให้ชาติตะวันตกอีกต่อไป และรัสเซียพร้อมฟื้นคืนชีพสหภาพโซเวียตอีกครั้ง เนื่องจากรากเหง้าของปัญหาที่สุมอกรัสเซียต่อการปฏิบัติของชาติตะวันตก เนื่องจากนับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อปี ค.ศ.1991 ทำให้เกิดความคับข้องหมองใจของรัสเซียอย่างใหญ่หลวง ด้วยเหตุที่ชาติตะวันตกได้ดึงอดีตประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตเข้าเป็นพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ จึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัสเซียหมดความอดทน และเข้ามาแสดงบทบาทเดินเกมทางการเมือ