ดอยอินทนนท์ ชื่อนี้ใครไม่รู้จักก็เชยเต็มทนแล้ว แต่ก่อนที่จะมาถ่ายรูปก็รู้จักแค่ว่าเป็นดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องขอขึ้นให้ถึงยอดดอยขอไปถ่ายรูปกับป้ายที่บอกจุดสูงสุดในประเทศ และขอไปให้เห็นแม่ขะนิ้งสักหน่อย ก็เท่านั้นสำหรับในตอนนั้น เวลาที่ได้ยินคนอื่นพูดถึงการไปเที่ยวดอยอินทนนท์ก็จะสงสัยว่าไปทำไมกัน ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ ตั้งแต่มาถ่ายรูปนี่เองทำให้วิธีการมองต่างออกไป การได้ไปเยือนดอยอินทนนท์ในช่วงปลายฝนต้นหนาว การได้ไปเดินท่องเที่ยวถ่ายรูปในกิ่วแม่ปาน เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมได้ เริ่มจากการที่มีคำเตือนเรื่องทาก เรื่องการเดินในกิ่วต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางซึ่งพวกเราได้เป็นหนุ่มชาวเขาอารมณ์ดีและใจดีมากๆ การที่จะนำสัมภาระต่างๆติดตัวเข้ากิ่วรวมถึงอุปกรณ์กล้องด้วย เมื่อเริ่มเดินเข้าไปทีแรกก็พบกับป่าที่เปียกชื้น เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฝน ทางเดินก็ค่อนข้างจะเฉอะแฉะ เละเทะพอสมควร ทีสำคัญก็คือมันเป็นการเดินที่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกๆก็ยังตื่นเต้นกับการได้เห็นได้ถ่ายรูปต้นไม้ใส่เสื้อ เขียวขจีชุ่มฉ่ำมาก แล้วยังจะมีมาโครพวกใยแมงมุม แมลงแปลกๆ อีก พวกหยดน้ำพิ้งพราวอีกล่ะ โอ้นี่คือสวรรค์ของนักถ่ายภาพจริงๆเลย พวกเราบางคนไม่นิยมทั้งแลนด์สเคปทั้งมาโคร ก็จ้องแต่จะถ่ายน้องนกอย่างเดียว ก็แล้วแต่ความสุขของแต่ละคนไปไม่ว่ากัน เจ้าหน้าที่หนุ่มชาวเขาก็น่ารักซะเห็นเราชอบถ่ายอะไรก็จะคอยชี้ช่องให้ “พี่....เห็ดครับ” “พี่...รอยเท้าหมีพี่” “พี่...กุหลาบพันปี” เมื่อเดินไปถ่ายรูปไปสักพักใหญ่ๆ ก็เริ่มมีเสียงถามเจ้าหน้าที่หนุ่มชาวเขา “ใกล้ถึงทางออกหรือยังจ๊ะ” “จวนแล้วพี่ ลงเขาลูกนี้แล้วขึ้นลูกนู้นแล้วลงก็ถึงทางออกแล้วพี่” จากคำตอบนั้นเราได้แต่นึกในใจ “กรรม” ทำไงได้เข้ามาแล้วก็ต้องไปต่อ เมื่อเดินมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณที่เป็นหน้าผา โอแม่เจ้า ช่างสวยอะไรอย่างนี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงฟ้าเปิดมองเห็นวิวข้างล่างลงไปลิบๆ สวยจนบรรยายไม่ถูกจริงๆ พวกเราต่างคว้ากล้องรีบเก็บความงามประทับใจของแต่ละคนไว้อย่างเร็วที่สุด จากนั้นไม่ถึงนาทีลมก็พัดหมอกมาปิดจนไม่เห็นว่าข้างล่างนั้นเป็นหน้าผาที่สูงแค่ไหน เมื่อพยายามลากขาต่อมาอีกก็มาเจอกับด้านหลังของพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลและพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ ในวันนั้นพวกเราได้รูปพระธาตุที่สวยงามแปลกตา ด้วยมีหมอกเข้ามาบดบังจนเห็นองค์พระธาตุได้ทีละองค์เท่านั้น ธรรมชาติได้ช่วยต่อเติมหรือบดบังให้บิดเบือนได้เสมอ เมื่อเดินมาถึงแถวนี้แล้วถ้าสังเกตจะเห็นว่าที่ตัวเจ้าหน้าที่หนุ่มชาวเขานั้นเริ่มจะมีอุปกรณ์กล้อง ขาตั้งกล้องมาให้ช่วยถือแล้ว “พี่.....เห็ด” “โอย ไม่เอาแล้ว ขาแข็งนั่งไม่ลงแล้ว” จากนั้นขาตั้งกล้องก็จะกลายเป็นไม้เท้าค้ำยัน แต่บรรยากาศรอบตัวในกิ่วนั้นก็ยังสวยงามไม่เปลี่ยน เหมือนเป็นอีกโลกที่ต้นไม้มีชีวิตชีวา มองทางไหนก็เขียวขจี ต้นไม้แต่ละต้นสูงสุดลูกหูลูกตา บางครั้งก็จะมีเสียงเจ้าน้องนกมาร้องเรียกล่อเราให้มองหา ครั้งนั้นเราเดินทางเข้ากิ่วตอนประมาณ 9.00น. และกว่าจะลากสังขารกลับออกมาได้ก็ตกเข้าไปเกือบ 17.00น. เป็นการเดินทางถ่ายรูปที่คิดว่าเหนื่อยที่สุดแล้ว แต่ประสบการณ์ที่ได้ ความงามที่พบเห็นก็คุ้มสุดคุ้มจริงๆ