Much attention has been paid to the

Much attention has been paid to the unearthing of the
2500-year-old mummy known as the “Siberian Ice Maiden.”
Discovered in 1993, her subterranean burial chamber
included a pouch of cannabis among other archeologic
findings1. Magnetic resonance imaging revealed that the
princess had a primary tumour in the right breast, with
axial adenopathy and metastatic disease. It is hypothesized
that the cannabis was used to manage her pain and
perhaps other symptoms, or even possibly as a treatment
for her malignant disease.
Widely used as medicine during the ensuing millennia,
cannabis disappeared from the pharmaceutical armamentarium
in the 1940s as its prohibition took hold. Today, we
are in the midst of what appears to be something of a medicinal
cannabis renaissance, with patients across the globe
gaining increased access to this potent botanical medicine.
In a 2014 WebMD poll, 82% of oncologists indicated their
belief that patients should have access to cannabis, ranking
highest among medical subspecialists in their support2.
Regrettably, most oncologists trained during the era of
cannabis prohibition and have no knowledge of how to use
the plant as medicine. In these days of targeted therapies
and nanotechnology, the modern oncologist might feel
somewhat ill at ease recommending a herbal intervention,
notwithstanding the number of potent cytotoxic chemotherapeutic
agents derived from plants.
An even more vexing concern to the oncologist is the
lack of data on which to base treatment recommendations.
Given the nature of the drugs that they prescribe, oncologists
are used to seeing strong evidence of a favourable
risk–benefit ratio before recommending a therapeutic
intervention. Usually, oncology drugs have proceeded
through preclinical studies, followed by the traditional
phase i, ii, and iii analyses, before we feel comfortable
adding them to our toolbox. Such data about the clinical
effectiveness of medicinal cannabis are all but lacking.
In the United States, cannabis is classified as a
Schedule I agent with a high potential for abuse and no
accepted medical use. The study of cannabis requires a
special Schedule I license from the U.S. Drug Enforcement

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความสนใจมากได้รับการจ่ายเงินให้กับวัตถุโบราณของ
มัมมี่ 2500 ปีที่เรียกว่า "ไซบีเรียสาวน้ำแข็ง."
ค้นพบในปี 1993 ห้องฝังศพใต้ดินของเธอ
รวมถึงกระเป๋าของกัญชาในหมู่อื่น ๆ เกี่ยวกับโบราณคดี
findings1 ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กเปิดเผยว่า
เจ้าหญิงมีเนื้องอกหลักในหน้าอกด้านขวามี
adenopathy แกนและโรคแพร่กระจาย มันคือการตั้งสมมติฐาน
ว่ากัญชาได้ถูกใช้ในการจัดการความเจ็บปวดของเธอและ
อาการอื่น ๆ อาจจะหรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นแนวทางการรักษา
โรคมะเร็งของเธอ.
ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นยาในช่วงพันปีต่อมา
กัญชาหายไปจาก armamentarium ยา
ในปี 1940 เป็นข้อห้ามของมันเอา ถือ. วันนี้เรา
อยู่ในท่ามกลางของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอะไรบางอย่างที่ยา
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยากัญชากับผู้ป่วยทั่วโลก
ดึงดูดเพิ่มการเข้าถึงยาพฤกษศาสตร์นี้มีศักยภาพ.
ใน 2014 WebMD โพลล์ 82% ของผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาระบุพวกเขา
เชื่อว่าผู้ป่วยควรจะมี การเข้าถึงกัญชาการจัดอันดับ
สูงสุดในหมู่ subspecialists ทางการแพทย์ใน support2 ของพวกเขา.
น่าเสียใจผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาส่วนใหญ่ได้รับการฝึกฝนในยุคของการ
ห้ามกัญชาและมีความรู้ในวิธีการที่จะไม่ใช้
พืชเป็นยา ในวันนี้ของการรักษาที่ตรงเป้าหมาย
และนาโนเทคโนโลยี, เนื้องอกที่ทันสมัยอาจจะรู้สึก
ค่อนข้างไม่สบายใจแนะนำการแทรกแซงสมุนไพร
แม้จะมีจำนวนที่มีศักยภาพเคมีบำบัดพิษ
ตัวแทนมาจากพืช.
ประกอบกับแม้รบกวนมากขึ้นเพื่อเนื้องอกคือ
ขาดข้อมูลที่ คำแนะนำการรักษาฐาน.
กำหนดลักษณะของยาเสพติดที่พวกเขากำหนด, ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยา
จะใช้ในการเห็นหลักฐานของดี
อัตราส่วนความเสี่ยงและผลประโยชน์ก่อนที่จะแนะนำการรักษา
แทรกแซง โดยปกติแล้วยาเสพติดด้านเนื้องอกวิทยาได้ดำเนิน
ผ่านการศึกษา preclinical ตามแบบดั้งเดิม
เฟส I, II และ III วิเคราะห์ก่อนที่เราจะรู้สึกสะดวกสบาย
เพิ่มลงในกล่องเครื่องมือของเรา ข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวกับคลินิก
ประสิทธิผลของยากัญชาทั้งหมด แต่ขาด.
ในประเทศสหรัฐอเมริกา, กัญชาถูกจัดประเภทเป็น
ตัวแทนตารางผมที่มีศักยภาพสูงในการล่วงละเมิดและไม่มีการ
ใช้งานทางการแพทย์ได้รับการยอมรับ การศึกษาของกัญชาต้องมี
ตารางเวลาพิเศษที่ฉันใบอนุญาตจากการบังคับใช้ยาของสหรัฐ