Many studies shown by researcher ha

Many studies shown by researcher have concluded that there is a correlation between obesity and GERD. Yamamichi et al. (2012) found that obesity is a strong risk of GERD. According to Janeway, Spark, and Hendrick (2007), men who have BMI more than 3.5, chance occurred GERD are 3.3 times more than men on basis weight, women are 6.3 times more than women on basis weight. A survey of Yamamichi et al. (2012) revealed that an important factor of GERD are lack of sleep and poor eating routine; having dinner a few hour before go to bed, the habit of eating a midnight snack, frequently going without breakfast, and the habit of quick eating. The correlation between bad sign and GERD. Heidelbaugh, Harrison, McQuillan, and Nostrant (2012) report that asthma usually exists at the same time with GERD. Moreover, Korst(n.d) report that the patient with GERD can develop to Barrett’s Esophagus. In addition, Barrett’s Esophagus in severe case can develop to be esophagus cancer .

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ศึกษาหลายที่แสดง โดยนักวิจัยได้สรุปว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและกรดไหลย้อน Yamamichi et al. (2012) พบว่าโรคอ้วนมีความเสี่ยงที่รัดกุมของกรดไหลย้อน ตาม Janeway สปาร์ค และเฮ็น (2007), คนที่มี BMI มากกว่า 3.5 โอกาสเกิดกรดไหลย้อนครั้ง 3.3 มากกว่าผู้ชายในน้ำหนัก ผู้หญิงเป็นเวลา 6.3 มากกว่าผู้หญิงในน้ำหนัก การสำรวจของ Yamamichi et al. (2012) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญของกรดไหลย้อนจะขาดการนอนหลับและขั้นตอนการรับประทานอาหารไม่ดี มีอาหารกี่ชั่วโมงก่อนที่จะไปที่เตียง นิสัยการกินเป็นอาหารว่างเที่ยงคืน มักจะไม่ มีอาหารเช้า และนิสัยการรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องหมายที่ไม่ดีและกรดไหลย้อน Heidelbaugh, Harrison, McQuillan และ Nostrant (2012) รายงานว่า โรคหอบหืดมักจะมีอยู่ในเวลาเดียวกันกับกรดไหลย้อน นอกจากนี้ รายงาน Korst(n.d) ที่ผู้ป่วย มีกรดไหลย้อนสามารถพัฒนาให้อาหาร Barrett นอกจากนี้ อาหาร Barrett ในกรณีรุนแรงสามารถพัฒนาเป็น มะเร็งหลอดอาหาร

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การศึกษาจำนวนมากที่แสดงโดยนักวิจัยได้ข้อสรุปว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและโรคกรดไหลย้อน Yamamichi et al, (2012) พบว่าโรคอ้วนเป็นความเสี่ยงของโรคกรดไหลย้อนที่แข็งแกร่ง ตามที่เจนเวย์ปาร์คและเฮนดริ (2007) คนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 3.5 มีโอกาสเกิดโรคกรดไหลย้อนเป็น 3.3 เท่ามากกว่าผู้ชายน้ำหนักพื้นฐานผู้หญิง 6.3 เท่ามากกว่าผู้หญิงน้ำหนักพื้นฐาน การสำรวจ Yamamichi et al, (2012) แสดงให้เห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญของโรคกรดไหลย้อนเป็นขาดการนอนหลับและการรับประทานอาหารประจำยากจน มีอาหารค่ำไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะไปนอนนิสัยการรับประทานอาหารว่างเที่ยงคืนมักจะไม่รวมอาหารเช้าและนิสัยของการรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณที่ไม่ดีและโรคกรดไหลย้อน Heidelbaugh แฮร์ริสัน, McQuillan และ Nostrant (2012) รายงานว่าโรคหอบหืดมักจะมีอยู่ในเวลาเดียวกันกับโรคกรดไหลย้อน นอกจากนี้ Korst (ND) รายงานว่าผู้ป่วยที่มีโรคกรดไหลย้อนสามารถพัฒนาไปยังหลอดอาหารบาร์เร็ตต์ นอกจากนี้หลอดอาหารบาร์เร็ตต์ในกรณีที่รุนแรงสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งหลอดอาหาร

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

หลายการศึกษาแสดง โดยนักวิจัยได้พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและเกอร์ด yamamichi et al . ( 2012 ) พบว่า โรคอ้วนมีความเสี่ยงที่แข็งแกร่งของเกอร์ด ตามที่เจนเวย์ , จุดประกาย , Hendrick ( 2007 ) , ผู้ที่มี BMI มากกว่า 3.5 , โอกาสเกิดโรคกรดไหลย้อนเป็น 3.3 เท่า มากกว่าคนน้ำหนักพื้นฐาน ผู้หญิงเป็นมากกว่า 6 ครั้งมากกว่าผู้หญิงน้ำหนักพื้นฐานการสำรวจ yamamichi et al . ( 2012 ) เปิดเผยว่าปัจจัยสำคัญของการเกิดเป็นปัญหาการนอนและการรับประทานอาหารตามปกติที่ยากจน มีเย็น 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน นิสัยการกินของว่าง บ่อยไป ไม่มีอาหารเช้า และนิสัยรีบกิน ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณที่ไม่ดีและเกอร์ด เมิ่กควิลเลิ่น heidelbaugh , แฮริสันและ nostrant ( 2012 ) รายงานว่า โรคหอบหืดมักจะมีอยู่ในเวลาเดียวกันเกอร์ด นอกจากนี้ korst ( n.d ) รายงานว่าผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนสามารถพัฒนา Barrett ของหลอดอาหาร . นอกจากนั้น Barrett ของหลอดอาหารในกรณีที่รุนแรงสามารถพัฒนาเป็นมะเร็งหลอดอาหาร