As in yogic philosophy, one who is

As in yogic philosophy, one who is a jīvanmukta(enlightened one while alive) knows that people seethe everyday world as being only different things, but at the same time that there is only Brahman underlying it all.•Likewise parallel to yoga philosophy, the challenge for the individual jīva is to return to a state of unity with a primordial Brahman (like Puruśa).•In this sense, there is nothing new to be discovered. A spiritual life only entails a return to what has always been there.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในปรัชญา yogic ผู้ jīvanmukta (enlightened ในขณะหนึ่งมีชีวิตอยู่) รู้ว่า คน seethe ทุกวันโลกเป็น สิ่งที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันที่มีเฉพาะ Brahman ที่ต้นแบบคู่ขนานทั้งหมด •Likewise ปรัชญาโยคะ ความท้าทายของ jīva แต่ละคือการ กลับสู่สถานะของความสามัคคีกับ Brahman primordial (เช่น Puruśa) •In นี้ไม่มีอะไรใหม่ที่ค้นพบ ชีวิตฝ่ายวิญญาณเท่านั้นมีการกลับไปอะไรได้เสมอมี

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในขณะที่ปรัชญา yogic เป็นผู้หนึ่งที่เป็นjīvanmukta (หนึ่งในขณะที่มีชีวิตอยู่พุทธะ) รู้ว่าคนที่โกรธโลกในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียว แต่ในเวลาเดียวกันว่ามีพราหมณ์เพียงต้นแบบมันทั้งหมด. •ในทำนองเดียวกันขนานไปกับปรัชญาโยคะ ความท้าทายสำหรับแต่ละ Jiva คือการกลับไปยังสถานะของความสามัคคีกับพราหมณ์แรก (เช่นPuruśa). •ในแง่นี้มีอะไรใหม่ที่จะค้นพบ ชีวิตทางจิตวิญญาณเท่านั้นส่งผลกลับไปยังสิ่งที่ได้รับเสมอ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในปรัชญา yogic , ผู้ที่เป็น J ī vanmukta ( พุทธะหนึ่งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ) รู้ว่าคนอื่นโกรธทุกวัน โลกเป็นเพียงสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นมีเพียงพราหมณ์เป็นต้น ทั้งหมด บริการเช่นเดียวกันขนานกับปรัชญาโยคะ ความท้าทายสำหรับบุคคลและī J คือ กลับ ไป รัฐของความสามัคคีกับพราหมณ์กลุ่ม ( เช่น Puru ย้าย ) - ในความรู้สึกนี้มีอะไรใหม่ที่ถูกค้นพบ ชีวิตทางจิตวิญญาณเท่านั้น ใช้กลับมีอะไรอยู่ตรงนั้นเสมอ