ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว)
ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2497 พื้นเพคนตำบลท่าพี่เลี้ยง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายฝาแฝดคนเล็ก ครอบครัวมีอาชีพค้าขายของ ที่ตลาดเมืองสุพรรณบุรี เริ่มต้นการศึกษาในระดับประถมศึกษาโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ ระดับมัธยมที่ โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จากนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น แอ๊ดตัดสินใจบินเดี่ยวมาพร้อมกับรถส่งไปรษณีย์เพื่อเข้ามาศึกษาต่อระดับ อุดมศึกษาที่อุเทนถวาย และบินไปเรียนต่อระดับปริญญาที่ ประเทิศฟิลิปปินส์ สมัยเรียนร่วมก่อตั้งวงคาราบาวกับกิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียวคาราบาวเพื่อนสมัยเรียนที่ฟิลิปปินส์ หลังจากจบการศึกษาแล้ว ได้บินกลับมาเมืองไทยเข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ เป็นเวลา 5 ปีและมีเล่นดนตรีตอนกลางคืนไปด้วย
จากนั้นได้มีโอกาสเข้าไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงแฮมเมอร์ที่ทำเพลง ประกอบภาพยนตร์เรื่องหมามุ่ยของ พนม นพพร ในสมัยนั้น จากการทำงานดังกล่าวจึงเกิดแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มชุดแรกขึ้นมาในนามวงคาราบาว ใช้ชื่อชุดว่าขี้เมา ใน ปี พ.ศ. 2524 โดยชักชวนเขียวที่ทำงานประจำลาออกมาร่วมกันทำอัลบั้มดังกล่าวด้วย และนี่เองเป็นจุดเริ่มแรกของ แอ๊ด คาราบาว หัวเรือใหญ่ที่นำพาวงคาราบาว ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวการต่อสู้ ความวุ่นวายมากมาย มาจนถึงปัจจุบัน ก้าวล่วงเข้าสู่ปีที่ 23 ด้วยผลงานเพลงมากกว่า 90 อัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็นผลงานภาคปกติ ภาคพิเศษ ภาคแสดงสด ของคาราบาว
บทเพลงของคาราบาวมีหลากหลาย แต่ละบทเพลงล้วนแล้วแต่มีความหมายเป็นเรื่องราวบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ยุคสมัยนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงที่ทำให้คาราบาวประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยเพลงเมดอินไทยแลนด์ ที่ให้คนไทยกลับมานิยมใช้สินค้าของไทย เป็นอัลบั้มที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ เพลงต่างๆ ที่ถูกแต่งขึ้น ด้วยภาษาการประพันธ์ที่สละสลวยแฝงด้วยข้อคิดต่างๆ มากมายซึ่งส่วนหนึ่งจากการแต่งเพลง แอ๊ดคาราบาวเป็นผู้ที่รักการอ่าน โดยเฉพาะแนวปรัชญา ศาสนา ซึ่งก็ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาเขียนเป็นบทเพลงด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้ทำให้บทเพลงของคาราบาวเป็นบทเพลงที่ทุกคนล้วนแล้วแต่จดจำ ฟังติดหู และบางเพลงก็เป็นเพลงอมตะ ที่ร้องกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
ศิลปิน : ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว)
ภาพโดย : ชัยยุทธ์ ลิมลาวัลย์
ช่วงเวลา 23 ปีที่ผ่านมา แอ๊ดคาราบาว นอกจากงานเพลงของคาราบาวแล้ว ยังทำงานเพื่อสังคมรับใช้ประเทศชาติร่วมกับหน่วยงานองค์กรทั้งภาครัฐและเอกเชนต่างๆ อย่างเช่น โครงการตู้หนังเพื่อเยาวชน เพื่อให้เยาวชนได้มีหนังสือได้อ่าน การเป็นตัวแทนศิลปินเพลง ที่ทำเพลงในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 บางกอกเกมส์ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย รักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เช่น การต่อสู้เรื่องการต่อต้านการสร้างเขื่อนทำลายป่า ต่อสู้ความไม่เป็นธรรมของสังคมเรียกร้องประชาธิปไตย ณ ยุคสมัยหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อความถูกต้องคนหนึ่ง
นอกจากนี้ แอ๊ด คาราบาว ยังได้เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ละคร อาทิเช่น ในภาพยนตร์องค์บาก พรางชมพู กษัตริยา มหาราชกู้แผ่นดิน บางระจัน นายขนมต้ม ฯลฯ และในด้านงานโฆษณา เช่น เพื่อเมืองไทยด้วยใจและใจของโค้ก เพลงประกอบโฆษณาเบียร์ช้าง เป็นต้น หรือแต่งเพลงให้กับรายการทีวี เช่น เกมส์แก้จน และเป็นนักแสดงเองด้วยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องเสียงเพลงแห่งเสรีภาพ พรางชมพู กษัตริยา มหาราชกู้แผ่นดิน ท้าลิขิต เป็นต้น จากนั้นแอ๊ด คาราบาวได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ประพันธ์บทภาพยนตร์ของตัวเอง ในโครงการปั้นเพลงให้เป็นหนัง ในภาพยนตร์เรื่องคนล่าฝัน นางงามตู้กระจก และภาพยนตร์เรื่องเจ้าตาก
งานอดิเรกของแอ๊ดคาราบาวนั้น ชอบเลี้ยงไก่ชน ซึ่งไม่ใช่แค่เลี้ยงอย่างเดียว ยังมีความสนใจในทุกเรื่องราวของไก่ชนในสายพันธุ์ต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเหลืองหางขาว เจ้าทองหยอด เจ้าหงส์หยก เจ้าดอกไม้ไฟ จนได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย และยังร่วมต่อสู้ให้ภาครัฐผลิตวัคซีนไข้หวัดนกฉีดไก่ชน
ด้วยวัยที่ก้าวขึ้นเลขห้า แอ๊ดคาราบาวได้วางรากฐานให้กับชีวิตครอบครัวและลูกน้อง โดยการตัดสินใจก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจผลิตเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ร่วมกับเสถียร เศรษฐสิทธิ์ เจ้าของโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ในสินค้าที่ชื่อ “คาราบาวแดง” ในปี พ.ศ.2545 ที่ทำให้ทุกคนล้วนแปลกใจด้วยสโลแกน คาราบาวถูกป้ายสี? และผลิตภาพยนตร์โฆษณาคาราบาวแดงแบบมิวสิคมาร์เก็ตติ้งที่ทำให้คนทั้งประเทศรู้จักคาราบาวแดงได้อย่างรวดเร็ว และจนถึงปัจจุบันนี้เครื่องดื่มคาราบาวแดงก็เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้วยความเป็นบุคคลที่ไม่หยุดนิ่งของแอ๊ดคาราบาว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ทุกวันนี้ แอ๊ด คาราบาวมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานสร้างสรรค์บทเพลงในนามคาราบาว งานด้านธุรกิจ งานด้านรับใช้สังคมประเทศชาติ อีกทั้งยังทำให้คนอีกไม่น้อยยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชิวิต ในฐานะคนล่าฝัน ที่ล่าฝันได้สำเร็จแล้วในชีวิต