กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึง การแปล - กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึง ไทย วิธีการพูด

กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู

กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เคียงคู่กับชุมชนมาตั้งแต่เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์แล้ว เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าย่อมต้องจำกัดความประพฤติของตนเองให้อยู่ในลักษณะที่จะไม่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในขณะเดียวกันก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ชุมชนเห็นว่าดีงามด้วย การประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในชุมชน ย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้าย ข้อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการบอกเล่าของคนในชุมนุมชนนั้นๆ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “กฎหมายจารีตประเพณี” (customary law)[2] เมื่อมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้มีการนำเอากฎหมายมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการชัดแจ้งแน่นอนเรียกกันว่า “กฎหมายลายลักษณ์อักษร” (written law) กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความเก่าแก่ที่สุดได้แก่ ประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี(code of Hammurabi) แห่งอาณาจักรบาบิโลน ซึ่งมีความเก่าแก่ประมานว่าอยู่ที่ปี 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่สลักลงไปบนแผ่นศิลาไดโอไรต์ (diorite stone) ด้วยตัวอักษรลิ่ม (cuneiform) หลักกฎหมายที่สำคัญในประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ได้แก่ หลักการลงโทษระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, a tooth for a tooth) หรือที่เรียกกันว่า Lex Talionis เป็นบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับการกระทำแก่ผู้อื่น กล่าวคือ ถ้าหากมีการกระทำแก่ผู้อื่นในลักษณะอย่างไร ผู้กระทำก็จะได้รับผลร้ายในลักษณะอย่างเดียวกัน ซึ่งการลงโทษในลักษณะเช่นนี้ได้รับการแก้ไขโดยกฎหมายของชาวยิว (Jewish Law) ที่กำหนดว่า บิดาย่อมไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบุตร บุตรก็ไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบิดา มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำบาปของตนเอง[3] จึงเห็นได้ว่ากฎหมายชาวยิวเน้นความรับผิดทางอาญาว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่ความรับผิดอันเนื่องมาจากครอบครัวหรือความเป็นญาติ กล่าวกันว่า กฎหมายของพวกชาวยิวมีความเก่าแก่น้อยกว่าประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ประมาน 800 ปีเศษ กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญต่อกฎหมายปัจจุบันและมีความเก่าแก่รองลงมาอีกได้แก่กฎหมายโรมัน (Roman Law) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาล ต่อมามีกฏหมายลายลักษณ์อักษรที่ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นก็คือ แม็กนาคาต้า เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจอห์นในระหว่าง ค.ศ. 1199-1216 (Magna Carta) หรือ (The Great Charter of Liberties) มีทั้งหมด 63 ข้อถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษซึ่งเป็นกฏหมายที่ริดรอนอำนาจและขจัดการกระทำที่ไม่ชอบของพระเจ้าจอห์น นอกจากนี้ยังเป็นกฏหมายที่มีผลกระทบต่อระบบกฏหมายและศาลหลวงด้วย
ทำไมประวัติศาสตร์กฎหมายถึงสำคัญกับนักกฎหมาย
1. กล่าวกันว่ากฎหมายเป็นเรื่องของประสบการณ์ บางครั้งบทบัญญัติของกฎหมายก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักตรรกวิทยา บางครั้งต้องอาศัยประวัติศาสตร์มาอธิบายถึงที่มาของบทบัญญัติกฎหมาย จึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมาย เช่น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระ แต่ศาลยุติธรรมของไทยกลับเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม[15] ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหาร ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดศาลยุติธรรมของไทยเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม เราก็ต้องไปศึกษาในประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง (Royal Court) ของประเทศอังกฤษจึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ตัวอย่างต่างๆเหล่านี้คงต้องนำประวัติศาสตร์มาอธิบายจึงจะสามารถตอบคำถามต่างๆข้างต้นได้ ณ จุดนี้ประวัติศาสตร์หนึ่งหน้าย่อมมีค่ามากกว่าตรรกวิทยาหนึ่งเล่ม
2. ทำให้เราทราบถึงที่มาแห่งหลักเกณฑ์ต่างของกฎหมาย เช่น ทำให้เราทราบว่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีรูปร่าง และทรัพย์ไม่มีรูปร่าง โดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ตามแบบอย่างกฎหมายโรมัน ในขณะที่กฎหมายไทยแต่เดิมเคยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีวิญญาณ (วิญญาณกทรัพย์) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์) เป็นต้น
3. ทำให้เราทราบเจตนารมณ์ และขอบเขตของกฎหมาย ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดี การรู้เจตนารมณ์ และ ขอบเขตของกฎหมาย ทำให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตีความกฎหมายตามตัวอักษรขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เราต้องถือตามเจตนารม์ของกฎหมายเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหมายของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร[16]
4. ทำให้เราทราบถึงที่มาของรูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ
5. ทำให้เราทราบถึงวิธีการต่างๆที่มนุษย์คิดกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมในกาลเวลาและสถานที่แตกต่างกัน
6. ประวัติศาสตร์กฎหมายนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลก การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทำให้เราได้ศึกษาอารยธรรมโลกโดยปริยาย
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เคียงคู่กับชุมชนมาตั้งแต่เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์แล้วเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าย่อมต้องจำกัดความประพฤติของตนเองให้อยู่ในลักษณะที่จะไม่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในขณะเดียวกันก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ชุมชนเห็นว่าดีงามด้วยการประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในชุมชนย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้ายข้อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการบอกเล่าของคนในชุมนุมชนนั้น ๆจึงได้มีการนำเอากฎหมายมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการชัดแจ้งแน่นอนเรียกกันวจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า "กฎหมายจารีตประเพณี" (กฎหมายจารีตประเพณี) เมื่อมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา [2]่า "กฎหมายลายลักษณ์อักษร" (เขียนกฎหมาย) กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความเก่าแก่ที่สุดได้แก่ประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี (รหัส Hammurabi) แห่งอาณาจักรบาบิโลนซึ่งมีความเก่าแก่ประมานว่าอยู่ที่ปี 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาลเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่สลักลงไปบนแผ่นศิลาไดโอไรต์ (หิน diorite) ด้วยตัวอักษรลิ่ม (cuneiform) หลักกฎหมายที่สำคัญในประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบีได้แก่หลักการลงโทษระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน (ตาต่อตา ฟันสำหรับฟัน) หรือที่เรียกกันว่า Talionis เล็กซ์ทัวร์เป็นบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับการกระทำแก่ผู้อื่นกล่าวคือถ้าหากมีการกระทำแก่ผู้อื่นในลักษณะอย่างไรผู้กระทำก็จะได้รับผลร้ายในลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งการลงโทษในลักษณะเช่นนี้ได้รับการแก้ไขโดยกฎหมายของชาวยิว (ชาวยิวกฎหมาย) ที่กำหนดว่าบิดาย่อมไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบุตรบุตรก็ไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบิดามนุษย์ทุกคนต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำบาปของตนเอง [3] จึงเห็นได้ว่ากฎหมายชาวยิวเน้นความรับผิดทางอาญาว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่ใช่ความรับผิดอันเนื่องมาจากครอบครัวหรือความเป็นญาติกล่าวกันว่ากฎหมายของพวกชาวยิวมีความเก่าแก่น้อยกว่าประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบีประมาน 800 ปีเศษกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญต่อกฎหมายปัจจุบันและมีความเก่าแก่รองลงมาอีกได้แก่กฎหมายโรมัน (กฎหมาย) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาลต่อมามีกฏหมายลายลักษณ์อักษรที่ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นก็คือแม็กนาคาต้าเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจอห์นในระหว่างค.ศ. 1199-1216 (Magna Carta) หรือ (ดีกฎบัตรของเสรีภาพ) มีทั้งหมด 63 ข้อถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษซึ่งเป็นกฏหมายที่ริดรอนอำนาจและขจัดการกระทำที่ไม่ชอบของพระเจ้าจอห์นนอกจากนี้ยังเป็นกฏหมายที่มีผลกระทบต่อระบบกฏหมายและศาลหลวงด้วยทำไมประวัติศาสตร์กฎหมายถึงสำคัญกับนักกฎหมาย1. กล่าวกันว่ากฎหมายเป็นเรื่องของประสบการณ์ บางครั้งบทบัญญัติของกฎหมายก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักตรรกวิทยา บางครั้งต้องอาศัยประวัติศาสตร์มาอธิบายถึงที่มาของบทบัญญัติกฎหมาย จึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมาย เช่น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระ แต่ศาลยุติธรรมของไทยกลับเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม[15] ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหาร ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดศาลยุติธรรมของไทยเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม เราก็ต้องไปศึกษาในประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง (Royal Court) ของประเทศอังกฤษจึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ตัวอย่างต่างๆเหล่านี้คงต้องนำประวัติศาสตร์มาอธิบายจึงจะสามารถตอบคำถามต่างๆข้างต้นได้ ณ จุดนี้ประวัติศาสตร์หนึ่งหน้าย่อมมีค่ามากกว่าตรรกวิทยาหนึ่งเล่ม2. ทำให้เราทราบถึงที่มาแห่งหลักเกณฑ์ต่างของกฎหมาย เช่น ทำให้เราทราบว่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีรูปร่าง และทรัพย์ไม่มีรูปร่าง โดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ตามแบบอย่างกฎหมายโรมัน ในขณะที่กฎหมายไทยแต่เดิมเคยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีวิญญาณ (วิญญาณกทรัพย์) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์) เป็นต้น
3. ทำให้เราทราบเจตนารมณ์ และขอบเขตของกฎหมาย ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดี การรู้เจตนารมณ์ และ ขอบเขตของกฎหมาย ทำให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตีความกฎหมายตามตัวอักษรขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เราต้องถือตามเจตนารม์ของกฎหมายเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหมายของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร[16]
4. ทำให้เราทราบถึงที่มาของรูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ
5. ทำให้เราทราบถึงวิธีการต่างๆที่มนุษย์คิดกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมในกาลเวลาและสถานที่แตกต่างกัน
6. ประวัติศาสตร์กฎหมายนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลก การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทำให้เราได้ศึกษาอารยธรรมโลกโดยปริยาย
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้าย "กฎหมายจารีตประเพณี" (กฎหมายจารีตประเพณี) [2] "กฎหมายลายลักษณ์อักษร" (กฎหมายที่เขียน) ของฮัมมูราบี) แห่งอาณาจักรบาบิโลน 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล (diorite หิน) ด้วยตัวอักษรลิ่ม (ฟอร์ม) ได้แก่ หลักการลงโทษระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน) หรือที่เรียกกันว่าไฟแนนเชี่ Talionis กล่าวคือ (กฎหมายยิว) ที่กำหนดว่า กล่าวกันว่า ประมาน 800 ปีเศษ (กฎหมายโรมัน) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาล แม็กนาคาต้า ค.ศ. 1199-1216 (รัฐธรรมนูญ) หรือ (กฎบัตรใหญ่แห่งเสรีภาพ) มีทั้งหมด 63 จึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมายเช่นในขณะที่ประเทศต่างๆศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหารดังนั้น ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง (Royal Court) ณ เช่น ทรัพย์มีรูปร่างและทรัพย์ไม่มีรูปร่างโดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์มีวิญญาณ (วิญญาณกทรัพย์) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์) เป็นต้น3 ทำให้เราทราบเจตนารมณ์และขอบเขตของกฎหมาย และขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดีการรู้เจตนารมณ์และขอบเขตของกฎหมาย







การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เคียงคู่กับชุมชนมาตั้งแต่เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์แล้วการประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในชุมชนย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้ายข้อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการบอกเล่าของคนในชุมนุมชนนั้นๆ" กฎหมายจารีตประเพณี " ( จารีต ) [ 2 ] เมื่อมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาจึงได้มีการนำเอากฎหมายมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการชัดแจ้งแน่นอนเรียกกันว่า( กฎหมายลายลักษณ์อักษร ) กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความเก่าแก่ที่สุดได้แก่ประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ( รหัสของฮัมมูราบี ) แห่งอาณาจักรบาบิโลนซึ่งมีความเก่าแก่ประมานว่าอยู่ที่ปี 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล( ไดหิน ) ด้วยตัวอักษรลิ่ม ( ฟอร์ม ) หลักกฎหมายที่สำคัญในประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบีได้แก่หลักการลงโทษระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ( ตาต่อตาฟันต่อฟัน ) หรือที่เรียกกันว่าเล็กซ์ talionis เป็นบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับการกระทำแก่ผู้อื่นกล่าวคือถ้าหากมีการกระทำแก่ผู้อื่นในลักษณะอย่างไรผู้กระทำก็จะได้รับผลร้ายในลักษณะอย่างเดียวกัน( กฎหมายของชาวยิว ) ที่กำหนดว่าบิดาย่อมไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบุตรบุตรก็ไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบิดามนุษย์ทุกคนต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำบาปของตนเอง [ 2 ]ไม่ใช่ความรับผิดอันเนื่องมาจากครอบครัวหรือความเป็นญาติกล่าวกันว่ากฎหมายของพวกชาวยิวมีความเก่าแก่น้อยกว่าประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบีประมาน 800 ปีเศษ( กฎหมายโรมัน ) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาลต่อมามีกฏหมายลายลักษณ์อักษรที่ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นก็คือแม็กนาคาต้าเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจอห์นในระหว่างค .ศ .1199-1216 ( แมกนาคาร์ตา ) ค็อค ( กฎบัตรของเสรีภาพ ) มีทั้งหมด 63 ข้อถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษซึ่งเป็นกฏหมายที่ริดรอนอำนาจและขจัดการกระทำที่ไม่ชอบของพระเจ้าจอห์นทำไมประวัติศาสตร์กฎหมายถึงสำคัญกับนักกฎหมาย
1กล่าวกันว่ากฎหมายเป็นเรื่องของประสบการณ์บางครั้งบทบัญญัติของกฎหมายก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักตรรกวิทยาบางครั้งต้องอาศัยประวัติศาสตร์มาอธิบายถึงที่มาของบทบัญญัติกฎหมายจึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมายเช่นศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระแต่ศาลยุติธรรมของไทยกลับเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม [ 15 ] ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหารดังนั้นถ้าหากเราต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดศาลยุติธรรมของไทยเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรมใช้ .ศ . 110 ( พ . ศ .2442 ) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง ( สวนหลวง ) ของประเทศอังกฤษจึงมีชื่อเรียกต่างๆกันตัวอย่างต่างๆเหล่านี้คงต้องนำประวัติศาสตร์มาอธิบายจึงจะสามารถตอบคำถามต่างๆข้างต้นได้ฃ2 .ทำให้เราทราบถึงที่มาแห่งหลักเกณฑ์ต่างของกฎหมายเช่นทำให้เราทราบว่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่งทรัพย์ออกเป็นทรัพย์มีรูปร่างและทรัพย์ไม่มีรูปร่างโดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ในขณะที่กฎหมายไทยแต่เดิมเคยแบ่งทรัพย์ออกเป็นทรัพย์มีวิญญาณ ( วิญญาณกทรัพย์ ) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ ( อวิญญาณกทรัพย์ ) เป็นต้น
3 .ทำให้เราทราบเจตนารมณ์และขอบเขตของกฎหมายผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายและขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดีการรู้เจตนารมณ์และขอบเขตของกฎหมายทำให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องเราต้องถือตามเจตนารม์ของกฎหมายเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหมายของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร [ 16 ]
4 . ทำให้เราทราบถึงที่มาของรูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆตลอดจนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ
5ทำให้เราทราบถึงวิธีการต่างๆที่มนุษย์คิดกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมในกาลเวลาและสถานที่แตกต่างกัน
6ประวัติศาสตร์กฎหมายนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลกการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทำให้เราได้ศึกษาอารยธรรมโลกโดยปริยาย
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: