Biomass (plant material) can be a r

Biomass (plant material) can be a renewable energy source, but importantly, only if the rate of extraction does not exceed the rate of production, as non-renewable biomass usage can easily occur, such as the historical Deforestation during the Roman period and the present Deforestation of the Amazon Rainforest.
Through the process of photosynthesis, plants capture the sun's energy. When the plants are burnt, they release the sun's energy they contain. In this way, biomass functions as a sort of natural battery for storing solar energy.[33][unreliable source?]
In general there are two main approaches to using plants for energy production: growing plants specifically for energy use (known as first and third-generation biomass), and using the residues (known as second-generation biomass) from plants that are used for other things. See biobased economy. The best approaches vary from region to region according to climate, soils and geography.[33]
The proportion of truly renewable biomass in use is uncertain, as for example peat, one of the largest sources of biomass, is sometimes regarded as a renewable source of energy. However due to peats extraction rate in industrialized countries far exceeding its slow regrowth rate of 1mm per year,[34] and due to it being reported that peat regrowth takes place only in 30-40% of peatlands,[35] There is considerable controversy with this renewable classification.[36] Organizations tasked with assessing climate change mitigation methods differ on the subject, the UNFCCC classify peat as a fossil fuel due to the thousand plus year length of time for peat to re-accumulate after harvesting,[36] another organization affiliated with the United Nations also classified peat as a fossil fuel.[37] However, the Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) has begun to classify peat as a "slow-renewable" fuel,[38] with this also being the classification used by many in the peat industry.[36]
Further controversy surrounding the classification of all biomass as "renewable" centers around the fact that depending on the plant source, it can take from 2 to 100 years for different sources of plant energy to regrow, such as the difference between fast growing switch grass and slow growing trees, therefore due to the high emission intensity of plant material, researchers have suggested that if the biomass source takes longer than 20 years to regrow, they argue the plant source should not be regarded as renewable from a climate change mitigation standpoint.[39]
As of early 2012, 85 of 107 biomass plants operating in the U.S. had been cited by federal or state regulators for violating clean air or water laws over the past five years.[40] The Energy Information Administration projected that by 2017, biomass is expected to be about twice as expensive as natural gas, slightly more expensive than nuclear power, and much less expensive than solar panels.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ชีวมวล (โรงงานวัสดุ) สามารถเป็นแหล่งพลังงานทดแทน แต่ที่สำคัญเฉพาะในกรณีที่อัตราการสกัดไม่เกินกว่าอัตราการผลิตในขณะที่การใช้ชีวมวลที่ไม่หมุนเวียนสามารถเกิดขึ้นได้เช่นตัดไม้ทำลายป่าในอดีตในช่วงระยะเวลาโรมันและ ปัจจุบันตัดไม้ทำลายป่าของป่าอะเมซอน.
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์พืชจับพลังงานดวงอาทิตย์ของ เมื่อพืชจะเผาก็จะปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ที่พวกเขามี . ด้วยวิธีนี้ฟังก์ชั่นชีวมวลเป็นจัดเรียงของแบตเตอรี่ธรรมชาติสำหรับการจัดเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ [33] [? แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ]
โดยทั่วไปมีสองวิธีหลักในการใช้พืชสำหรับการผลิตพลังงาน: ปลูกพืชโดยเฉพาะสำหรับการใช้พลังงาน (ที่รู้จักกันครั้งแรกและ ชีวมวลรุ่นที่สาม) และการใช้สารตกค้าง (เรียกว่าชีวมวลรุ่นที่สอง) จากพืชที่ใช้สำหรับสิ่งอื่น ๆ ดูเศรษฐกิจชีวภาพ วิธีการที่ดีที่สุดแตกต่างจากภูมิภาคในพื้นที่ตามสภาพภูมิอากาศดินและสภาพทางภูมิศาสตร์. [33]
สัดส่วนของชีวมวลทดแทนอย่างแท้จริงในการใช้งานมีความไม่แน่นอนเป็นสำหรับพรุตัวอย่างเช่นหนึ่งในแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของชีวมวลได้รับการยกย่องบางครั้งเป็นแหล่งพลังงานทดแทน ของพลังงาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากการ peats อัตราการสกัดน้ำมันในประเทศอุตสาหกรรมไกลเกินกว่าอัตราที่ช้า regrowth ของ 1mm ต่อปี [34] และเพราะมันถูกรายงานว่า regrowth พรุเกิดขึ้นเฉพาะใน 30-40% ของป่าพรุ, [35] มีการโต้เถียงอย่างมากคือ กับการจัดทดแทนนี้. [36] องค์กรมอบหมายกับการประเมินวิธีการบรรเทาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันในเรื่องของ UNFCCC จำแนกพรุเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลเนื่องจากการพันบวกระยะเวลาในปีเวลาพรุอีกครั้งสะสมหลังการเก็บเกี่ยว, [36] องค์กรอื่นร่วมกับพีทสหประชาชาตินอกจากนี้ยังจัดเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล. [37] อย่างไรก็ตามคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้เริ่มที่จะจัดพรุเป็น "ช้าทดแทน" เชื้อเพลิง [38] กับเรื่องนี้ที่ยังเป็น การจัดหมวดหมู่โดยใช้จำนวนมากในอุตสาหกรรมพรุ. [36]
นอกจากนี้ความขัดแย้งรอบการจัดหมวดหมู่ของชีวมวลทั้งหมดเป็นศูนย์ "ทดแทน" รอบความจริงที่ว่าขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของพืชก็สามารถใช้เวลา 2-100 ปีสำหรับแหล่งที่มาของพืชพลังงานที่แตกต่างกัน การปลูกเช่นความแตกต่างระหว่างหญ้าสวิทช์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและปลูกต้นไม้ช้าดังนั้นเนื่องจากความเข้มการปล่อยก๊าซสูงของวัสดุปลูกนักวิจัยได้แนะนำว่าถ้าแหล่งชีวมวลใช้เวลานานกว่า 20 ปีในการปลูกพวกเขาโต้เถียงแหล่งพืชที่ควร ไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นพลังงานทดแทนจากมุมมองการบรรเทาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ. [39]
ขณะที่ช่วงต้นปี 2012, 85 107 พืชชีวมวลในการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกาได้รับการอ้างถึงโดยหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางหรือรัฐละเมิดอากาศที่สะอาดหรือกฎหมายน้ำที่ผ่านมาห้าปี [40] การบริหารงานสารสนเทศด้านการพลังงานคาดการณ์ว่าโดยปี 2017 ชีวมวลที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณสองเท่าของราคาแพงเป็นก๊าซธรรมชาติเล็กน้อยมีราคาแพงกว่าพลังงานนิวเคลียร์และมีราคาแพงมากน้อยกว่าแผงเซลล์แสงอาทิตย์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์จำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่ ( วัสดุจากพืช ) สามารถเป็นแหล่งพลังงาน ทดแทน แต่ที่สำคัญ ถ้าอัตราการสกัดไม่เกินอัตราการผลิตเป็นพลังงานทดแทน ชีวมวลที่ไม่ใช้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโรมันและการทำลายป่า ปัจจุบันของป่าฝนอเมซอน .
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง พืช จับพลังงานของดวงอาทิตย์