experiments showed for the first ti

experiments showed for the first time that conscious thought leads to a different visual memory representation of people’s
faces. This face bias is important given the documented finding that perceiving a person as more typical of the Black race
increases the likelihood of negative judgments and stereotyping (see also Maddox, 2004). Our results further extend previous
findings by combining memory and judgment measures to provide a more complete picture of the effects of conscious
thought on racial discrimination. We found evidence that biased memory representations mediate biased evaluative judgments.
In addition, and independent of the race bias, Experiment 2 (but not Experiment 1) provided evidence for the unconscious
thought effect, that is, a period of unconscious thought – relative to a period of conscious thought – enhanced sound
judgments based on personality characteristics (Dijksterhuis & Nordgren, 2006).
The inconsistent results of Experiment 1 and 2 do not permit us to draw firm conclusions about the validity of the ‘‘Who is
Who task’’. It was remarkable that the correct response rate in this task was extremely low in both experiments. Perhaps
participants did not pay much attention to the faces during the presentation of the roommate profiles or the recognition task
is simply too difficult, which reduces the usefulness of the task. The paradigm used in Experiment 3 showed promising
results. It yielded a much higher correct response rate, perhaps because the Black target face was presented in a very salient
way, making it difficult for participants to avoid looking at the face, and hence, avoid the mental activation of the Black race
category. Whether the paradigm used in Experiment 3 is robust waits further testing in future studies.
Various studies show that conscious thought may lead people to temporarily suppress social stereotypes, which may
ironically rebound and lead to even stronger bias (Macrae et al., 1994). Although these ironic processes yield similar effects
as the ones observed here, we do not think they played a role in the current studies. Ironic processes typically occur when
people are motivated to suppress thoughts, or in this case, race bias. Because we did not find any evidence that enhanced
motivation – that is, the exploratory priming manipulation in Experiment 1 and the goal manipulation in Experiment 2 –
moderated race bias, this explanation is unlikely. It should be noted, however, that the current studies were not specifically
designed to test the role of motivation and as such do not provide a definitive test. Future studies using stronger manipulations
and more statistical power may examine the influence of enhanced motivation on face bias and judgment bias further.
Additionally, future studies could examine whether the effect of conscious thought on face bias applies to conscious
thought in general, or depends on the content and the direction of thought. For example, a question that was not addressed
here is whether conscious thought directed at individuating the target, or at suppressing racial bias, has different effects.
The results suggest that unconscious thought is preferred over conscious thought when information is complex and conducive
to race bias, as it decreases the risk of race bias based on facial features while at the same time does not jeopardize
(and may even enhance) the weighting of verbal pros and cons. Some readers may find this conclusion surprising, as racial
bias is generally associated with unconscious processes. However, the paradox can be resolved by noting that whereas race
categories are often activated automatically, their application occurs when people think consciously about a person or group.
Various lines of research show that conscious thought is biased by automatically activated stereotypes (e.g., Cameron &
Trope, 2004; for a review see Dijksterhuis & Nordgren, 2006).
Besides the implications for social judgments and stereotyping, the observed face bias has other important societal implications,
for example in the context of eyewitness investigations. Consider a person who has seen a (Black) perpetrator and
later has to point him out in a line-up. These results suggest that thinking consciously about the assault might lead the witness
to point at a darker person, since conscious thought increases the adherence to cognitive schemata and thereby
increases face bias. The results also have potential implications for lie detection. Previous research on UTT indicated that conscious
thought increases the likelihood that people use (often invalid) salient and stereotypical cues to determine whether a
person is lying or not (Reinhard et al., 2013). Future research may investigate whether conscious thought increases the reliance
on race in judgments about truth and lying.
In summary, the findings point to a potential problem of conscious thought as a strategy to reduce racial bias. We found
evidence

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การทดลองแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า ความคิดจิตสำนึกนำไปสู่การแสดงหน่วยความจำภาพที่แตกต่างกันของประชาชนใบหน้า อคตินี้ใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่ได้รับการค้นหาเอกสารที่บุคคลทั่วไปการแข่งขันดำเป็นที่รับรู้เพิ่มโอกาสในการใช้ดุลยพินิจลบและทัศนคติทั่วไปต่อ (ดู Maddox, 2004) ผลของเราเพิ่มเติมขยายก่อนหน้าผลการวิจัย โดยการรวมหน่วยความจำและการตัดสินมาตรการเพื่อให้ภาพสมบูรณ์มากขึ้นของผลกระทบของการมีสติคิดว่า ในการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เราพบหลักฐานว่าลำเอียงหน่วยความจำแทนไกล่เกลี่ยตัดสินลำเอียงประเมินทั้งภาพนอกจากนี้ และเป็นอิสระจากอคติแข่งขัน 2 การทดลอง (แต่ไม่ใช่การทดลอง 1) มีหลักฐานสติคิดว่า ผล นั่นคือ ระยะเวลาของความคิดสติ –สัมพันธ์กับระยะเวลาของความคิดสติ – เพิ่มเสียงการใช้ดุลยพินิจตามลักษณะบุคลิกภาพ (Dijksterhuis & Nordgren, 2006)ผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกันของการทดลองที่ 1 และ 2 ไม่อนุญาตให้เราวาดข้อสรุปยืนยันเกี่ยวกับความถูกต้องของการ '' คือใครที่งาน '' มันก็น่าทึ่งว่าต่ำมากในทั้งสองการทดลองอัตราการตอบสนองที่ถูกต้องในงานนี้ บางทีผู้เข้าร่วมได้ไม่สนใจมากกับใบหน้าระหว่างการนำเสนอของโปรไฟล์เพื่อนร่วมห้องหรือการรับรู้งานจะยากเกินไป ซึ่งลดประโยชน์ของงานนั้น กระบวนทัศน์ที่ใช้ในการทดลองที่ 3 แสดงให้เห็นแนวโน้มผลลัพธ์ที่ มันให้ผลมากอัตราสูงขึ้นการตอบสนองที่ถูกต้อง อาจเป็น เพราะใบหน้าดำเป้าหมายได้นำเสนอในเด่นมากวิธีการ ทำให้มันยากสำหรับคนที่หลีกเลี่ยงการมองใบหน้า และด้วยเหตุนี้ หลีกเลี่ยงการทำงานจิตใจของการแข่งขันดำประเภท ว่า กระบวนทัศน์ที่ใช้ในการทดลองที่ 3 มีประสิทธิภาพรอการทดสอบเพิ่มเติม ในอนาคตศึกษาศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า สติคิดอาจนำคนบีฑาแบบแผนทางสังคม ซึ่งอาจเป็นการชั่วคราวแดกดันฟื้นตัว และนำไปสู่อคติยิ่ง (Macrae et al. 1994) แม้ว่าผลข้างเคียงทำให้กระบวนการเหล่านี้เรื่องน่าขันเป็นคนสังเกตที่นี่ เราไม่คิดว่า พวกเขามีบทบาทในการศึกษาปัจจุบัน กระบวนการเรื่องน่าขันโดยทั่วไปเกิดขึ้นเมื่อคนมีแรงจูงใจให้ระงับความคิด หรือในกรณีนี้ แข่งขันรุนแรง เนื่องจากเราไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่เพิ่มขึ้นแรงจูงใจ –นั่นคือ การสำรวจด้วยการจัดการใน 1 – และจัดการเป้าหมายในการทดลอง 2มีการควบคุมการแข่งขันรุนแรง คำอธิบายนี้ไม่น่า ควรสังเกต อย่างไรก็ตาม ว่า การศึกษาปัจจุบันไม่ได้โดยเฉพาะออกแบบมาเพื่อทดสอบบทบาทของแรงจูงใจ และเป็นเช่นนี้ไม่ให้ทดสอบชัดเจน การศึกษาในอนาคตใช้ manipulations ที่แข็งแกร่งและสถิติพลังงานอาจตรวจสอบอิทธิพลของแรงจูงใจเพิ่มขึ้นในหน้าอคติและอคติตัดสินต่อไปนอกจากนี้ การศึกษาในอนาคตสามารถตรวจสอบว่าผลของความคิดสติในหน้าอคติใช้สติคิดว่า ทั่วไป หรือขึ้นอยู่กับเนื้อหาและทิศทางของความคิด ตัวอย่างเช่น คำถามที่ไม่ได้รับการแก้ไขนี่คือ ว่า สติที่คิดโดยตรง ที่ individuating เป้าหมาย หรือปราบปรามอคติทางเชื้อชาติ มีผลแตกต่างกันผลลัพธ์แนะนำว่า คิดสติเป็นสติที่คิดว่า เมื่อข้อมูลมีความซับซ้อน และเอื้อการแข่งขันรุนแรง ลดความเสี่ยงของการ ไม่ทำลายอคติการแข่งขันอิงคุณสมบัติผิวหน้าในขณะที่ในเวลาเดียวกัน(และยังช่วยเพิ่ม) น้ำหนักของวาจา pros และ cons บางผู้อ่านอาจหาข้อสรุปนี้น่าแปลกใจ เชื้อชาติเป็นอคติมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการหมดสติ อย่างไรก็ตาม นี้สามารถแก้ไขได้ โดยสังเกตว่า ในขณะแข่งขันประเภทมักจะทำงานโดยอัตโนมัติ โปรแกรมของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อคนมีสติคิดเกี่ยวกับบุคคลหรือกลุ่มงานวิจัยจำนวนมากแสดงว่า ความคิดจิตสำนึกจะลำเอียง โดยมักเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ (เช่น คาเมรอนและTrope, 2004 สำหรับการทบทวนดู Dijksterhuis & Nordgren, 2006)นอกจากผลกระทบการใช้ดุลยพินิจทางสังคมและทัศนคติทั่วไปต่อ อคติหน้าสังเกตมีผลกระทบสังคมที่สำคัญอื่น ๆตัวอย่างในบริบทของการสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ พิจารณาบุคคลที่ได้เห็นตัวผู้ (สีดำ) และภายหลังได้ชี้ให้เขาเห็นในบรรทัดขึ้น ผลลัพธ์เหล่านี้แนะนำว่า ความคิดเกี่ยวกับการทำร้ายสติอาจนำพยานto point at a darker person, since conscious thought increases the adherence to cognitive schemata and therebyincreases face bias. The results also have potential implications for lie detection. Previous research on UTT indicated that consciousthought increases the likelihood that people use (often invalid) salient and stereotypical cues to determine whether aperson is lying or not (Reinhard et al., 2013). Future research may investigate whether conscious thought increases the relianceon race in judgments about truth and lying.In summary, the findings point to a potential problem of conscious thought as a strategy to reduce racial bias. We foundevidence

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การทดลองแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกที่มีสติคิดนำไปสู่การเป็นตัวแทนของหน่วยความจำที่แตกต่างกันภาพของผู้คนที่
ใบหน้า อคติใบหน้านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ได้รับการค้นพบเอกสารที่รับรู้บุคคลที่เป็นแบบอย่างของการแข่งขันดำ
เพิ่มโอกาสในการตัดสินเชิงลบและเวส (เห็นแมดดอกซ์, 2004) ผลของเราต่อขยายก่อนหน้านี้
ผลการวิจัยโดยการรวมหน่วยความจำและการตัดสินมาตรการเพื่อให้ภาพที่สมบูรณ์มากขึ้นจากผลกระทบของการมีสติ
ความคิดเกี่ยวกับการเหยียดผิว เราพบหลักฐานว่าเป็นตัวแทนของหน่วยความจำลำเอียงเป็นสื่อกลางในการตัดสินการประเมินลำเอียง.
นอกจากนี้และเป็นอิสระจากอคติการแข่งขันการทดลองที่ 2 ( แต่ไม่ใช่การทดลองที่ 1) ให้หลักฐานสำหรับสติ
ผลคิดว่าเป็นช่วงเวลาของความคิดสติ - เทียบกับ ระยะเวลาของความคิดสติ - เพิ่มเสียง
. การตัดสินขึ้นอยู่กับลักษณะของบุคลิกภาพ (Dijksterhuis & Nordgren 2006)
ผลที่ไม่สอดคล้องกันของการทดลองที่ 1 และ 2 ไม่อนุญาตให้เราที่จะสรุปผล บริษัท ที่เกี่ยวกับความถูกต้องของ '' ใครเป็น
งานที่ใคร '' มันเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราการตอบสนองที่ถูกต้องในงานนี้อยู่ในระดับต่ำมากในการทดลองทั้งสอง บางทีอาจจะเป็น
ผู้เข้าร่วมไม่ได้ให้ความสนใจมากกับใบหน้าในระหว่างการนำเสนอของโปรไฟล์เพื่อนร่วมห้องหรืองานรับรู้
เป็นเพียงยากเกินไปซึ่งจะช่วยลดประโยชน์ของงาน กระบวนทัศน์ที่ใช้ในการทดลองที่ 3 แสดงให้เห็นว่าแนวโน้ม
ผลการ มันให้ผลอัตราการตอบสนองที่ถูกต้องมากขึ้นบางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าเป้าหมายสีดำถูกนำเสนอในที่สำคัญมาก
วิธีทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้เข้าร่วมเพื่อหลีกเลี่ยงการมองหน้าและด้วยเหตุนี้ควรหลีกเลี่ยงการเปิดใช้งานทางจิตของการแข่งขันดำ
หมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนทัศน์ที่ใช้ในการทดลองที่ 3 คือรอที่แข็งแกร่งต่อไปในการทดสอบการศึกษาในอนาคต.
การศึกษาต่างๆแสดงให้เห็นว่ามีสติคิดอาจนำไปสู่คนที่จะปราบปรามแบบแผนทางสังคมซึ่งอาจเป็นการชั่วคราว
แดกดันดีดตัวขึ้นและนำไปสู่การมีอคติที่แข็งแกร่ง (Macrae et al., 1994) แม้ว่ากระบวนการแดกดันเหล่านี้ผลผลิตผลกระทบคล้าย
กับคนที่สังเกตได้ที่นี่เราไม่คิดว่าพวกเขามีบทบาทในการศึกษาในปัจจุบัน กระบวนการแดกดันมักจะเกิดขึ้นเมื่อ
ผู้คนมีแรงจูงใจที่จะระงับความคิดหรือในกรณีนี้การแข่งขันอคติ เพราะเราไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่เพิ่ม
แรงจูงใจ - นั่นคือการจัดการรองพื้นสอบสวนในการทดลองที่ 1 และการจัดการเป้าหมายในการทดลองที่ 2 -
การตรวจสอบการแข่งขันอคติคำอธิบายนี้ไม่น่าเป็น มันควรจะตั้งข้อสังเกตอย่างไรว่าการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้โดยเฉพาะ
ออกแบบมาเพื่อทดสอบบทบาทของแรงจูงใจและเป็นเช่นนี้ไม่ได้ให้การทดสอบที่ชัดเจน การศึกษาในอนาคตโดยใช้กิจวัตรแข็งแกร่ง
และอำนาจทางสถิติที่มากขึ้นอาจตรวจสอบอิทธิพลของแรงจูงใจที่เพิ่มขึ้นในอคติใบหน้าและการตัดสินความลำเอียงต่อไป.
นอกจากนี้การศึกษาในอนาคตอาจจะตรวจสอบว่าผลของการมีสติคิดอคติใบหน้านำไปใช้สติ
คิดในทั่วไปหรือขึ้นอยู่กับ เนื้อหาและทิศทางของความคิด ยกตัวอย่างเช่นคำถามที่ไม่ได้จ่าหน้า
ว่านี่คือความคิดมีสติกำกับที่ individuating เป้าหมายหรือที่ปราบปรามอคติทางเชื้อชาติมีผลที่แตกต่างกัน.
ผลการวิจัยแนะนำว่าคิดไม่ได้สติเป็นที่ต้องการมากกว่าสติคิดว่าเมื่อมีข้อมูลมีความซับซ้อนและเอื้อต่อ
การแข่งอคติ ขณะที่มันช่วยลดความเสี่ยงของการแข่งขันอคติอยู่บนพื้นฐานของใบหน้าในขณะที่ในเวลาเดียวกันไม่ได้เป็นอันตรายต่อ
(และแม้อาจเพิ่ม) น้ำหนักของมืออาชีพทางวาจาและข้อเสีย ผู้อ่านบางคนอาจพบข้อสรุปนี้น่าแปลกใจเป็นเชื้อชาติ
อคติมักจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่หมดสติ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้โดยการสังเกตว่าในขณะที่การแข่งขัน
ประเภทมักจะมีการเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติโปรแกรมของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อคนคิดอย่างมีสติเกี่ยวกับบุคคลหรือกลุ่ม.
สายต่างๆของการแสดงงานวิจัยที่มีสติคิดจะลำเอียงโดยแบบแผนอัตโนมัติ (เช่นคาเมรอนและ
เปรียบเทียบ 2004. สำหรับความคิดเห็นดู Dijksterhuis & Nordgren, 2006)
นอกจากนี้ความหมายสำหรับการตัดสินทางสังคมและเวส, อคติใบหน้าสังเกตมีผลกระทบทางสังคมอื่น ๆ ที่สำคัญ
เช่นในบริบทของการสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ พิจารณาคนที่ได้เห็น (สีดำ) ผู้กระทำผิดและ
ต่อมามีการชี้ให้เขาออกมาเป็นเส้นขึ้น ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการคิดอย่างมีสติเกี่ยวกับการโจมตีอาจนำพยาน
ชี้ไปที่คนที่เข้มตั้งแต่สติคิดเพิ่มการยึดมั่นในการ schemata องค์ความรู้และจึง
เพิ่มอคติใบหน้า ผลยังมีผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการตรวจจับโกหก งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า UTT สติ
คิดเพิ่มโอกาสที่ผู้คนใช้ (มักจะไม่ถูกต้อง) ชี้นำเด่นและโปรเฟสเซอร์เพื่อตรวจสอบว่า
คนที่กำลังนอนอยู่หรือไม่ (ฮาร์ด et al., 2013) การวิจัยในอนาคตอาจจะตรวจสอบว่ามีสติคิดเพิ่มความเชื่อมั่น
ในการแข่งขันในการตัดสินใจเกี่ยวกับความจริงและโกหก.
ในการสรุปผลการวิจัยชี้ให้เห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความคิดสติเป็นกลยุทธ์เพื่อลดอคติทางเชื้อชาติ เราพบ
หลักฐาน