กำเนิดซานต้า มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า ซานตาคลอส ก็คือเซนต์ นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรตที่4 เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือคนยากไร้เสมอๆ วันหนึ่ง นักบุญนิโคลัส เกิดสงสารครอบครัวเด็กหญิงคนหนึ่งที่แสนยากจน และด้วยความมีน้ำใจ เขาได้แอบปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของครอบครัวเด็กหญิงคนนี้ และหย่อนถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่บังเอิญถุงเงินได้ตกใปในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนไว้ข้างเตาผิงพอดี ทางครอบครัวน้องจึงแปลกใจว่าใครกันหนอ ได้มาช่วยเหลือพวกเขา และได้ทราบต่อมาในภายหลังว่าคือนักบุญนิโคลัสนั่นเอง
เซนต์ นิโคลัส ได้เผยแผ่ศาสนา และอุทิศชีวิตให้กับศาสนาคริสต์จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ก่อนที่จะมรณภาพในวันที่ 6 ธันวาคม ราว ค.ศ.340 โดยผู้คนได้สร้างโบสถ์เพื่อเก็บกระดูกท่านไว้ ที่เมืองไมรา ที่นี่ ได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ มีน้ำมนต์ไหลออกมาจากกระดูกของท่าน
ต่อมา ชาวเมืองบารี่ เมืองเล็กๆในอิตาลี ต้องการหาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับเมืองตัวเอง จึงได้จ้างนักโจรกรรม ไปขโมยกระดูกของเซนต์นิโคลัส มายังเมืองบารี่ เมื่อการโจรกรรมสำเร็จ ชาวบารี่ได้สร้างโบสถ์บรรจุกระดูกของท่าน เหตุการณ์มหัศจรรย์ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ไหลออกมาจากกระดูกเช่นเดียวกัน เมื่อนักบุญที่มาเคารพกระดูกท่านได้นำน้ำมนต์นี้มาใช้รักษาโรค ก็รักษาได้ผลชะงัก จากนั้น ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดคนได้อย่างล้นหลาม กระทั่งในคริสต์ศตวรรตที่ 12 ชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดวันที่ 6 ซึ่งเป็นวันมรณภาพของเซนต์นิโคลัส ให้เป็น “วันเซนต์นิโคลัส” และได้นำถุงเท้าที่ใส่อาหาร ขนมไปแขวนไว้หน้าบ้านของคนยากไร้ตามแบบอย่างท่าน ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรป และแพร่หลายไปในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะได้มีการผนวกวันเฉลิมฉลองเซนต์ นิโคลัส เข้ากับวันคริสต์มาส
ต่อมาจิตรกรนาม “โธมัส นาสต์” (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมาเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก โดยจะปรากฎตัวในวันคริสต์มาส ลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็ก ๆ ที่แขวนถุงเท้าไว้นั่นเอง
แค่นึกถึง “ซานตาคลอส” แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกถึงความใจดี อบอุ่น มีเมตตา ทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกนะคะ ความดีงามจากการ “ให้” อย่างมากมาย โดยไม่เคยหวังผลตอบแทนของนักบุญนิโคลัสนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว ก็ยังตราตรึงอยู่ในใจคนจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จางหายไปไหนเลย