ประวัติศาสตร์ความเป็นของจักรวรรดิโรมัน
1. บรรพบุรุษของชาวโรมันอพยพเข้ามาในคาบสมุทรอิตาลี ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล ต่อมามีชาวอิทรัสคาน (Etruscan) จากเอเชียไมเนอร์เข้ายึดครองดินแดนที่ราบลาติอุม (Latium) และเกิดการผสมผสานทางด้านเชื้อชาติกลายเป็นชาวโรมันรุ่นใหม่
2. ชาวอิทรัสคานได้นำความเจริญเข้ามาเผยแพร่ ทำให้โรมที่เคยเป็นแต่หมู่บ้านเกษตรกรรมกลับกลายเป็นนครรัฐ (City-State) มีการวางผังเมืองที่เป็นระเบียบ มีการพัฒนางานแกะสลักเครื่องปั้นดินเผา และการทำอาวุธโลหะที่ใช้งานได้ดีขึ้น
3. สมัยสาธารณรัฐโรมันมีการปกครองโดยพวกขุนขาง เรียกว่า ระบอบอภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นยุคที่โรมขยายอำนาจการปกครองออกไปอย่างกว้างขวางทั่วคาบสมุทรอิตาลี สเปน และแอฟริกาเหนือ รวมทั้งกรีกสมัยเฮลเลนิสติก แต่ไม่อาจควบคุมขุนนางนายทหารที่ปกครองดินแดนที่อยู่ห่างไกลเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง พวกทาสเชลยศึกถูกกวาดต้อนเข้ามาใช้แรงงานจำนวนมาก
4. ในปีที่ 48 ก่อนคริสตกาล นายทหารชื่อ จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้อำนาจปกครองโรม และปราบปรามหัวเมืองที่แข็งข้อได้สำเร็จ แต่ต่อมาไม่นานถูกลอบสังหาร การจราจลแย่งชิงอำนาจในกรุงโรมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดออคเตเวียน (Octavian) มีชัยเหนือ มาร์ค แอนโทนี (Mark Antony) และได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ซึ่งเรียกตำแหน่งนี้ว่า "ออกัสตัส" (Augustus) ทำให้ยุคสาธารณรัฐที่ปกครองโดยขุนนางนายทหารสิ้นสุดลง
5. สมัยจักรวรรดิโรมัน ระยะสองร้อยปีแรกมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านการปกครองและศิลปวัมนธรรม สามารถควบคุมประเทศราชให้อยู่ในอำนาจของโรมได้อย่างเป็นระเบียบโดยส่งทหารเข้าไปควบคุม และพยายามปลูกฝังวัฒนธรรมโรมันและภาษาละตินให้แก่ชนชาติอาณานิคม ระยะนี้จึงถูกเรียกว่า "สันติโรมัน" (Pax Romana) หลังจากนั้น จักรวรรดิโรมันก็ค่อยๆ เสื่อมอำนาจลง ชาวโรมันกลับนิยมความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 จักรวรรดิจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม และจักรวรรดิโรมันตะวันออก มีเมืองหลวงที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบัน คือ อิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน)