On the international front, the per

On the international front, the period was dominated by the further isolation of China. The Sino-Soviet split resulted in Nikita Khrushchev's withdrawal of all Soviet technical experts and aid from the country. The split concerned the leadership of world Communism. The USSR had a network of Communist parties it supported; China now created its own rival network to battle it out for local control of the left in numerous countries.[202] Lorenz M. Lüthi argues:

The Sino-Soviet split was one of the key events of the Cold War, equal in importance to the construction of the Berlin Wall, the Cuban Missile Crisis, the Second Vietnam War, and Sino-American rapprochement. The split helped to determine the framework of the Second Cold War in general, and influenced the course of the Second Vietnam War in particular.[203]

The split resulted from Nikita Khrushchev's more moderate Soviet leadership after the death of Stalin in March 1953. Only Albania openly sided with China, thereby forming an alliance between the two countries which would last until after Mao's death in 1976. Warned that the Soviets had nuclear weapons, Mao minimized the threat. Becker says that, "Mao believed that the bomb was a 'paper tiger', declaring to Khrushchev that it would not matter if China lost 300 million people in a nuclear war: the other half of the population would survive to ensure victory."[204]

Stalin had established himself as the successor of "correct" Marxist thought well before Mao controlled the Communist Party of China, and therefore Mao never challenged the suitability of any Stalinist doctrine (at least while Stalin was alive). Upon the death of Stalin, Mao believed (perhaps because of seniority) that the leadership of the "correct" Marxist doctrine would fall to him. The resulting tension between Khrushchev (at the head of a politically and militarily superior government), and Mao (believing he had a superior understanding of Marxist ideology) eroded the previous patron-client relationship between the Communist Party of the Soviet Union and the CPC.[citation needed] In China, the formerly favourable Soviets were now denounced as "revisionists" and listed alongside "American imperialism" as movements to oppose.[citation needed]

Partly surrounded by hostile American military bases (in South Korea, Japan, and Taiwan), China was now confronted with a new Soviet threat from the north and west. Both the internal crisis and the external threat called for extraordinary statesmanship from Mao, but as China entered the new decade the statesmen of the People's Republic were in hostile confrontation with each other.[citation needed]
Great Proletarian Cultural Revolution
Main article: Cultural Revolution

Mao was concerned with the nature of post-1959 China. He saw that the revolution had replaced the old elite with a new one. He was concerned that those in power were becoming estranged from the people they were supposed to serve. Mao believed that a revolution of culture would unseat and unsettle the "ruling class" and keep China in a state of "perpetual revolution" that, theoretically, would serve the interests of the majority, not a tiny elite.[205] Liu Shaoqi and Deng Xiaoping, then the State Chairman and General Secretary, respectively, had favoured the idea that Mao should be removed from actual power but maintain his ceremonial and symbolic role, with the party upholding all of his positive contributions to the revolution. They attempted to marginalise Mao by taking control of economic policy and asserting themselves politically as well. Many claim that Mao responded to Liu and Deng's movements by launching the Great Proletarian Cultural Revolution in 1966. Some scholars, such as Mobo Gao, claim the case for this is perhaps overstated.[206] Others, such as Frank Dikötter, hold that Mao launched the Cultural Revolution to wreak revenge on those who had dared to challenge him over the Great Leap Forward.[207]

Believing that certain liberal bourgeois elements of society continued to threaten the socialist framework, groups of young people known as the Red Guards struggled against authorities at all levels of society and even set up their own tribunals. Chaos reigned in much of the nation, and millions were persecuted, including a famous philosopher, Chen Yuen. During the Cultural Revolution, the schools in China were closed and the young intellectuals living in cities were ordered to the countryside to be "re-educated" by the peasants, where they performed hard manual labour and other work.

The Revolution led to the destruction of much of China's traditional cultural heritage and the imprisonment of a huge number of Chinese citizens, as well as creating general economic and social chaos in the country. Millions of lives were ruined during this period, as the Cultural Revolution pierced into every part of Chinese life, depicted by such Chinese films as To Live, The Blue Kite and Farewell My Concubine. It is estimated that hundreds of thousands, perhaps millions, perished in the violence of the Cultural Revolution.[201]

When Mao was informed of such losses, particularly that people had been driven to suicide, he is alleged to have commented: "People who try to commit suicide — don't attempt to save them! . . . China is such a populous nation, it is not as if we cannot do without a few people."[208] The authorities allowed the Red Guards to abuse and kill opponents of the regime. Said Xie Fuzhi, national police chief: "Don't say it is wrong of them to beat up bad persons: if in anger they beat someone to death, then so be it."[209] As a result, in August and September 1966, there were 1,772 people murdered in Beijing alone.[210]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ด้านหน้านานาชาติ รอบระยะเวลาถูกครอบงำ โดยแยกต่อไปของจีน แยกจีน-โซเวียตให้ถอนกิตานิกิตาครุสชอฟโซเวียตผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคและความช่วยเหลือจากประเทศทั้งหมด แบ่งห่วงเป็นผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตที่มีเครือข่ายของพรรคคอมมิวนิสต์สนับสนุน จีนสร้างเครือข่ายของตนเองคู่แข่งการต่อสู้มันออกมาสำหรับการควบคุมภายในด้านซ้ายในหลายประเทศขณะนี้[202] จนชายลอเรนซ์ M. Lüthi: แยกจีน-โซเวียตเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของสงครามเย็น ความสำคัญการก่อสร้าง กำแพงเบอร์ลิน วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา สงครามเวียดนามที่สอง และซิโน-อเมริกัน rapprochement เท่า แยกที่ช่วยกำหนดกรอบของสองสงครามเย็นทั่วไป และมีอิทธิพลต่อหลักสูตรของสองสงครามเวียดนามโดยเฉพาะ[203]แบ่งเป็นผลมาจากกิตานิกิตาครุสชอฟผู้นำโซเวียตมากปานกลางหลังการตายของสตาลินในเดือนมีนาคมปีค.ศ. 1953 แอลเบเนียเฉพาะอย่างเปิดเผยหน้าจีน จึงเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองประเทศที่จะสุดท้ายจนกระทั่งหลังการตายของเหมาในปี 1976 เตือนว่า สหภาพมีอาวุธนิวเคลียร์ เมาย่อคุกคาม Becker กล่าวว่า, "เหมาเชื่อว่า ระเบิดถูก 'กระดาษเสือ' ประกาศว่า มันจะสำคัญถ้าจีนสูญ 300 ล้านคนในสงครามนิวเคลียร์การกิตาครุสชอฟ: อีกครึ่งหนึ่งของประชากรที่จะอยู่รอดเพื่อให้ชัยชนะ"[204]สตาลินได้ก่อตั้งตัวเองเป็นการสืบของ Marxist "ถูกต้อง" คิดดีก่อนเหมาควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดังนั้น เมาไม่เคยท้าทายความเหมาะสมของหลักคำสอนใด ๆ Stalinist (ขณะที่ สตาลินมีชีวิตอยู่) เมื่อการตายของสตาลิน เหมาเชื่อว่า (อาจจะ เพราะอายุงาน) ว่า เป็นผู้นำของลัทธิ Marxist "ถูกต้อง" จะอยู่กับเขา ความตึงเครียดเกิดขึ้นระหว่างกิตาครุสชอฟ (ประมุขของรัฐทางการเมือง และทางทหารห้อง), และ (เชื่อว่า เขาเข้าใจที่เหนือกว่าของอุดมการณ์ Marxist) เมาเกิดความสัมพันธ์ของลูกค้าสมาชิกก่อนหน้าระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตและ CPC[ต้องการอ้างอิง] ในประเทศจีน สหภาพเดิมดีตอนนี้ประณามเป็น "revisionists" และแสดงควบคู่ไปกับ "ลัทธิจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกา" เป็นการต่อต้านการเคลื่อนไหว[ต้องการอ้างอิง]บางส่วนท่ามกลางศัตรูฐานทหารอเมริกัน (ในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน), จีนตอนนี้เผชิญกับคามโซเวียตใหม่จากทางเหนือและตะวันตก วิกฤตภายในและภัยคุกคามจากภายนอกเรียก statesmanship พิเศษจากเมา แต่จีนป้อนทศวรรษใหม่มากของคนกำลังเผชิญหน้าศัตรูกัน[ต้องการอ้างอิง]ปฏิวัติวัฒนธรรม Proletarian ดีบทความหลัก: การปฏิวัติวัฒนธรรมเมาไม่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของจีนลง-1959 เขาเห็นว่า การปฏิวัติมาแทนชนชั้นนำเก่ากับใหม่ เขากังวลว่า ผู้ที่อยู่ในอำนาจได้กลายเป็น estranged จากคนที่พวกเขาควรจะให้บริการ เหมาเชื่อว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมจะ unseat เก่า "ชั้นปกครอง" และให้จีนของ "ถาวรการปฏิวัติ" ที่ ตามหลักวิชา จะทำหน้าที่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ไม่มียอดเล็ก ๆ[205] หลิว Shaoqi และเต็ง Xiaoping แล้วประธานรัฐ และ เลขาธิการ มี favoured ตามลำดับ คิดว่า เมาควรถูกลบออกจากพลังงานจริง แต่รักษาบทบาทพิธีการ และสัญลักษณ์ กับฝ่ายยึดถือทุกผลงานของเขาบวกกับการปฏิวัติ พวกเขาพยายาม marginalise เมา โดยการควบคุมของนโยบายเศรษฐกิจ และกรรมสิทธิ์ตัวเองทางการเมืองเช่น หลายคนอ้างว่า เมาตอบหลิวและเต็งของการเคลื่อนไหว โดยการเปิดตัวการปฏิวัติวัฒนธรรม Proletarian ดีเป็น นักวิชาการบางคน เช่น Mobo เกา เรียกร้องกรณีนี้อาจระบุมากกว่าความจริง[206] ผู้อื่น เช่น Frank Dikötter กดค้างไว้ที่เหมาเปิดตัวการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อระบายแค้นกับคนที่มีกล้าที่จะท้าทายเขาผ่านการดีกระโดดไปข้างหน้า[207]เชื่อว่า ชนชั้นกลางเสรีนิยมบางองค์ประกอบของสังคมต่อการคุกคามกรอบสังคมนิยม กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เรียกว่ายามแดงต่อสู้กับหน่วยงานทั้ง ระดับสังคม และแม้แต่ตั้งค่า tribunals ตน Reigned ความวุ่นวายในประเทศมากมาย และล้านได้ รับ รวมถึงนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง เฉินหยวน ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม โรงเรียนในจีนถูกปิด และนักวิชาการหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองที่สั่งเพื่อชนบท "การศึกษา" โดยชาวนา ที่ทำแข็งแรงงานด้วยตนเองและงานอื่น ๆการปฏิวัตินำไปสู่การทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนมากและโทษจำคุกของจำนวนมากของชาวจีน รวมทั้งสร้างความสับสนวุ่นวายทางเศรษฐกิจ และสังคมทั่วไปในประเทศ ล้าน ๆ ชีวิตมีเจ๊งในช่วงเวลานี้ เป็นการปฏิวัติวัฒนธรรม pierced ในทุกส่วนของชีวิตจีน แสดง โดยภาพยนตร์ดังกล่าวจีนสด ว่าวเดอะบลู และนาง สนมของฉันอำลา มีประเมินว่า นับ บางทีล้าน perished ในความรุนแรงของการปฏิวัติวัฒนธรรม[201]เมื่อเมาได้ทราบความสูญเสียดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คนได้รับการขับเคลื่อนเพื่อฆ่าตัวตาย เขาก็ถูกกล่าวหาให้มีการแสดงความคิดเห็น: "คนที่พยายามฆ่าตัวตายคืออย่าพยายามบันทึก . . . จีนเป็นประเทศมีประชากร มันไม่ใช่ว่า เราไม่ไม่กี่คน"[208] ยามแดงการละเมิดและทำลายฝ่ายตรงข้ามของระบอบการปกครองอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ เจีย Fuzhi หัวหน้าตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า: "ไม่ว่า เป็นความผิดของพวกเขาตีค่าคนไม่ดี: ในความโกรธพวกเขาตีคนตาย ถ้าดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น"[209] เป็นผลให้ ในเดือนสิงหาคมและ 1966 กันยายน มีคน 1,772 ฆาตกรรมในปักกิ่งคนเดียว[210]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บนด้านหน้านานาชาติ ระยะเวลาที่ถูกครอบงำโดยการแยกเพิ่มเติมของประเทศจีน SINO โซเวียตแยกผลของการถอนตัวของสหภาพโซเวียตนิกิตา ครุชเชฟผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคและความช่วยเหลือจากประเทศ แยกคือผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตมีเครือข่ายของพรรคการเมืองนั้นได้รับการสนับสนุน ;จีนสร้างเครือข่ายคู่แข่งของตัวเองในการต่อสู้ออกสำหรับการควบคุมในท้องถิ่นของอีกหลายประเทศ [ 202 ] L üลอเรนซ์เมตรถิแย้ง :

SINO โซเวียตแบ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของสงครามเย็น เท่าเทียมกันในความสำคัญในการก่อสร้างกำแพงเบอร์ลิน , วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา , สงครามเวียดนามวินาที และกระชับมิตร ชิโน อเมริกันแยกช่วยกำหนดกรอบของสงครามเย็นครั้งที่สองในทั่วไป , และอิทธิพลของสงครามเวียดนามที่สองโดยเฉพาะ [ 203 ]

แยกเป็นผลจากผู้นำโซเวียตนิกิตา ครุสชอฟปานกลางมากขึ้นหลังจากการตายของสตาลินมีนาคม 2496 เพียงแอลเบเนียอย่างเปิดเผยเข้าข้างจีนจึงเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศซึ่งจะสุดท้ายจนกว่าหลังจากเหมาตายใน 1976 . เตือนว่าโซเวียตมีอาวุธนิวเคลียร์ เหมา ลดการคุกคาม เบกเกอร์กล่าวว่า " เหมา เชื่อว่าระเบิดเป็น ' เสือกระดาษ ' ประกาศเพื่อ Khrushchev ว่ามันไม่มีปัญหา ถ้าจีนเสีย 300 ล้านคน ในสงครามนิวเคลียร์ :อีกครึ่งหนึ่งของประชากรจะอยู่รอด เพื่อให้ชัยชนะ " [ 204 ]

สตาลินได้จัดตั้งตัวเองเป็นทายาทของ " ถูกต้อง " มาร์กซ์คิดให้ดีก่อนเหมาควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดังนั้นจึง เหมา ไม่ท้าทายความเหมาะสมของ stalinist ลัทธิ ( อย่างน้อยในขณะที่สตาลินยังมีชีวิตอยู่ ) เมื่อการตายของสตาลินเหมาเชื่อ ( อาจเพราะอาวุโส ) ที่ผู้นำของ " ถูกต้อง " ลัทธิมาร์กซ์จะตกเขา ส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างครุสชอฟ ( ที่หัวของรัฐบาลทางการเมืองและทางทหารที่เหนือกว่า )กับมาโอะ ( เชื่อว่าเขามีความเข้าใจที่เหนือกว่าของอุดมการณ์มาร์กซิสต์ ) กัดเซาะก่อนหน้านี้อุปถัมภ์ลูกค้าความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตและ CPC . [ อ้างอิงที่จำเป็น ] ในประเทศจีนโซเวียตเดิมที่ดีอยู่แล้วประณามเป็น " revisionists " และแสดงร่วมกับ " จักรวรรดินิยมอเมริกัน " เป็นขบวนการต่อต้าน . [ อ้างอิงที่จำเป็น

]ล้อมรอบด้วยศัตรูบางส่วนฐานทัพทหารอเมริกัน ( ในเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ) , จีนกำลังเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ของโซเวียตจากทิศเหนือ และทิศตะวันตก ทั้งภายในและภายนอก เรียกว่า วิกฤตภัยพิเศษรัฐประศาสโนบายจากเหมา แต่เป็นจีนเข้าสู่ทศวรรษใหม่ รัฐบุรุษของสาธารณรัฐประชาชนในการเผชิญหน้ากับศัตรูแต่ละอื่น ๆ[ อ้างอิงที่จำเป็น ]
ดีไพร่ทางวัฒนธรรมการปฏิวัติ
บทความหลัก : การปฏิวัติทางวัฒนธรรม

เหมาเกี่ยวกับธรรมชาติของ post-1959 ประเทศจีน เขาเห็นว่า การปฏิวัติได้แทนที่ยอดเก่ากับใหม่ เขากังวลว่าผู้ที่อยู่ในอำนาจเป็นเหินห่างจากคนที่พวกเขาควรจะใช้เหมา เชื่อว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมจะโค่นล้ม และอึดอัด " ชนชั้นปกครอง " และให้จีนในสถานะของการ " ปฏิวัติ " ตลอดนั้น ในทางทฤษฎี จะรับใช้ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ยอดเล็ก ๆ [ 205 ] หลิว shaoqi และเติ้ง เสี่ยวผิง แล้วรัฐประธานและเลขานุการทั่วไป ตามลำดับก็ชอบความคิดที่เหมาควรจะถูกลบออกจากอำนาจที่แท้จริงแต่รักษาบทบาทพิธีการและสัญลักษณ์ของเขากับพรรคสนับสนุนทุกผลงานที่ดีของเขาเพื่อการปฏิวัติ พวกเขาพยายามที่จะทำให้ไม่มีความสำคัญเหมา โดยการควบคุมของนโยบายเศรษฐกิจและยืนยันตัวเองในทางการเมืองได้เป็นอย่างดีหลายคนอ้างว่าเหมาตอบหลิวและการเคลื่อนไหวเติ้งโดยเปิดตัวในปี 1966 มหาไพร่ทางวัฒนธรรมการปฏิวัติ นักวิชาการบางคน เช่น โมโบเกา อ้างว่า กรณีนี้อาจจะพูดเกินไป [ 206 ] คนอื่นๆ เช่น แฟรงค์ ดิ๊กö tter ถือว่า เหมาเปิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เพื่อระบายความแค้นกับคนที่กล้าท้าทายเขายิ่งใหญ่ก้าวกระโดด [ 207 ]

เชื่อว่าองค์ประกอบบางอย่างของสังคมเสรีนิยมชนชั้นกลางยังคงคุกคามแนวคิดสังคมนิยม กลุ่มของคนหนุ่มสาวที่รู้จักกันเป็นสีแดงยามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับของสังคม และยังตั้งศาลของตนเอง ความโกลาหลครอบครองมากของประเทศ และนับล้านถูกข่มเหง รวมทั้งนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง เฉิน หยวน . ระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมโรงเรียนในประเทศจีนถูกปิดและหนุ่มปัญญาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ถูกสั่งให้ชนบทเป็นกำลังศึกษา " โดยชาวบ้านที่พวกเขาดำเนินการยากคู่มือแรงงาน และงานอื่น ๆ .

การปฏิวัตินำไปสู่การทำลายมากของมรดกวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมและการจำคุกของตัวเลขขนาดใหญ่ของประชาชนจีน ,ตลอดจนการสร้างความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วไปในประเทศ นับล้านชีวิตถูกทำลายลงในช่วงระยะเวลานี้ เช่น การปฏิวัติทางวัฒนธรรมทิ่มแทงทุกส่วนของชีวิตจีน ภาพหนังจีนเช่น อยู่ว่าวสีฟ้าและลาก่อนนางสนมของฉัน มันคือประมาณว่าหลายร้อยหลายพัน บางทีเป็นล้าน เสียชีวิตในความรุนแรงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม [ 201 ]

เมื่อเหมา ได้รับแจ้งจากความสูญเสียดังกล่าว โดยเฉพาะคนที่ถูกขับไล่ต้องฆ่าตัวตาย เขาถูกกล่าวหาว่ามีความเห็น : " คนที่พยายามฆ่าตัวตาย - ไม่พยายามที่จะช่วยพวกเขา . . . . . . . ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากร มันไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีคน " [ 208 ] เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ทหารสีแดงทารุณและฆ่าฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล กล่าวว่า fuzhi Xie ,ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ : " อย่าพูดมันเป็นความผิดของพวกเขาที่จะตีขึ้นคนเลว : ถ้าโกรธพวกเขาตีจนตาย แล้ว งั้นก็ . . . " [ 209 ] ผล ในเดือนสิงหาคม และกันยายน พ.ศ. 2509 มี 1181 คนถูกสังหารในปักกิ่งคนเดียว [ 210 ]