There has been increasing evidence

There has been increasing evidence that self-management
programmes for CHF patients have a positive effect on
quality of life and self-care behaviour. Kutzleb and Reiner
(2005) conducted a longitudinal study measuring the
effects that a nurse-directed patient education programme
had on QoL, and found that patient education had positively
affected QoL resulting from patient empowerment
to self-manage particular facets of the condition such as
diet and medication therapy. The team provided patient
education sessions over twelve months, they reported
improved exercise tolerance and ability to maintain independence,
reinforcing the correlation between QoL and
functional capacity. Wright et al (2003) randomized 197
HF patients into 2 groups with the intervention group
(n=100) receiving a diary and education surrounding
heart failure self-management and monitoring of daily
weight and 97 control subjects received normal care. The
intervention group had a lower mortality rate over the
course of the 12 month study together with fewer hospital
admissions, suggesting that self-management strategies
such as weight monitoring were effective. Additionally the
intervention group exhibited higher levels of knowledge
at 12 months follow up. The intervention participants who
did not use the diary or perform daily weighing were also
those with a poorer attendance at the heart failure clinic
and education sessions. This group declined markedly in
their health status over the 12 months in comparison to
the intervention group.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าจัดการด้วยตนเองโปรแกรมสำหรับผู้ป่วย CHF มีผลดีต่อพฤติกรรมสุขภาพและคุณภาพชีวิต Kutzleb และ Reiner(2005) ดำเนินการศึกษาระยะยาวเป็นวัดลักษณะที่ศึกษาผู้ป่วยโดยตรงพยาบาลโปรแกรมมี QoL และพบว่า แพทย์มีบวกQoL ได้รับผลกระทบที่เกิดจากอำนาจของผู้ป่วยการจัดการเฉพาะแง่มุมของสภาพเช่นตนเองอาหารและยารักษา ผู้ป่วยให้ทีมรอบเวลาในการศึกษากว่าสิบสองเดือน ผู้รายงานค่าเผื่อในการออกกำลังกายที่ดีขึ้นและความสามารถในการรักษาเอกราชหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่าง QoL และกำลังทำงาน 197 randomized ไรท์ et al (2003)HF ผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแทรกแซง(n = 100) ได้รับไดอารี่และศึกษาสภาพแวดล้อมหัวใจล้มเหลวจัดการด้วยตนเองและการตรวจสอบทุกวันน้ำหนักและวิชาควบคุม 97 ได้รับการดูแลปกติ ที่แทรกแซงของกลุ่มมีอัตราการตายต่ำกว่าหลักสูตรการศึกษา 12 เดือนร่วมกับโรงพยาบาลน้อยลงสมัครเรียน การจัดการที่ตนเองแนะนำกลยุทธ์เช่นน้ำหนัก ตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การแทรกแซงของกลุ่มจัดแสดงความรู้ระดับสูงในเดือนที่ 12 ตามค่า ผู้เข้าร่วมการแทรกแซงที่ไม่ได้ใช้ไดอารี่ หรือทำการชั่งทุกวันก็ยังผู้เข้าร่วมประชุมย่อมคลินิกหัวใจล้มเหลวและรอบเวลาของการศึกษา กลุ่มนี้ลดลงอย่างเด่นชัดสถานะสุขภาพมากกว่า 12 เดือนเปรียบเทียบกลุ่มแทรกแซง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าการจัดการตนเอง
โปรแกรมสำหรับผู้ป่วย CHF มีผลกระทบในเชิงบวกต่อ
คุณภาพชีวิตและพฤติกรรมการดูแลตนเอง Kutzleb และไรเนอร์
(2005) ได้ทำการศึกษาระยะยาววัด
ผลกระทบที่โปรแกรมการศึกษาผู้ป่วยพยาบาลกำกับ
ที่มีต่อคุณภาพชีวิตและพบว่าการศึกษาผู้ป่วยได้ในเชิงบวก
ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่เกิดจากการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ป่วย
ด้วยตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการทุกแง่มุมของสภาพเช่น
การรับประทานอาหาร และการรักษาด้วยยา ทีมงานผู้ป่วยให้
การประชุมการศึกษามากกว่าสิบสองเดือนพวกเขารายงาน
ความอดทนการออกกำลังกายที่ดีขึ้นและความสามารถในการรักษาความเป็นอิสระ,
เสริมความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตและ
ความสามารถในการทำงาน ไรท์, et al (2003) สุ่ม 197
HF ผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มกลุ่มที่มีการแทรกแซง
(n = 100) ที่ได้รับสมุดบันทึกประจำวันและการศึกษาโดยรอบ
ความล้มเหลวในการจัดการตนเองหัวใจและการตรวจสอบของทุกวัน
น้ำหนักและ 97 กลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลตามปกติ
กลุ่มแทรกแซงมีอัตราการตายต่ำกว่า
หลักสูตรของการศึกษา 12 เดือนร่วมกับโรงพยาบาลน้อยลง
รับสมัครบอกว่ากลยุทธ์การจัดการตนเอง
เช่นน้ำหนักการตรวจสอบมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้
กลุ่มแทรกแซงแสดงระดับที่สูงขึ้นของความรู้
ที่ 12 เดือนติดตาม ผู้เข้าร่วมการแทรกแซงที่
ไม่ได้ใช้ไดอารี่หรือดำเนินการชั่งน้ำหนักทุกวันนั้นยังมี
ผู้ที่มีการเข้าร่วมประชุมยากจนที่คลินิกหัวใจล้มเหลว
และการประชุมการศึกษา กลุ่มนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดใน
สถานะสุขภาพของพวกเขามากกว่า 12 เดือนเมื่อเทียบกับ
กลุ่มแทรกแซง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าโปรแกรมการจัดการตนเองสำหรับผู้ป่วย CHF

มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับคุณภาพชีวิตและพฤติกรรมการดูแลตนเอง และ kutzleb เรนเนอร์
( 2005 ) ได้ทำการศึกษาการวัดผลระยะยาวที่เป็นพยาบาลที่ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิต
โปรแกรมการศึกษา และพบว่าผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อคุณภาพชีวิต

พลังที่เกิดจากผู้ป่วยตนเองจัดการแง่มุมเฉพาะของเงื่อนไขเช่น
อาหารและยารักษา ทีมให้เซสชั่นการศึกษาผู้ป่วย
กว่า 12 เดือน , พวกเขารายงาน
ปรับปรุงการออกกำลังกายและความสามารถในการรักษาเอกราช และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิต

ความจุใช้งานได้ Wright et al ( 2003 ) จำนวน 197
HF ผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มทดลอง
ด้วย( n = 100 ) รับไดอารี่และการศึกษารอบ
หัวใจล้มเหลว การจัดการตนเองและการตรวจสอบน้ำหนักทุกวัน
97 การควบคุมเรื่องได้รับการดูแลตามปกติ
กลุ่มมีอัตราการตายต่ำกว่า
หลักสูตร 12 เดือนศึกษาร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดี
น้อยลง แนะนำว่า กลยุทธ์การจัดการตนเอง
เช่น น้ำหนักการตรวจสอบมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้
กลุ่มและระดับที่สูงขึ้นของความรู้
ที่ 12 เดือนติดตาม การแทรกแซงผู้
ไม่ได้ใช้ไดอารี่ หรือ ทำการชั่งทุกวันก็
ที่มีการเข้าร่วมยากจนที่คลินิกโรคหัวใจล้มเหลว
และการศึกษาครั้ง กลุ่มนี้ลดลงอย่างเด่นชัดใน
สถานะสุขภาพของพวกเขามากกว่า 12 เดือนในการเปรียบเทียบกับ
กลุ่มการทดลอง