Hypothesis 2 that predicted a negat

Hypothesis 2 that predicted a negative relationship ()0.08 coefficient) between personal financial benefit and ethical orientation. Practically speaking, this result suggests that the individual who tends to be more idealistic will,
in the presence of an opportunity to personally benefit from a business decision, tend to move toward
a more strongly idealistic position. That is, the idealistic person seems to sense the ethical dilemma inherent in the decision and adopt a stronger conviction to avoid this potential problem. Given the same set of circumstances, the individual who tends to be more relativistic will apparently tend to favor the positive consequences (personal benefit)
that are possible, which tends to strengthen their relativistic position. These results are generally in line with
the findings that Forsyth (1980) reports, and these results are intuitively appealing based on prior research
(e.g., Shaub et al., 1993, Douglas and Wier, 2000), where individuals, when confronted with other business dilemmas, tended to reinforce their ethical orientation.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สมมติฐาน 2 ที่คาดว่า มีความสัมพันธ์เชิงลบ() 0.08 สัมประสิทธิ์) ระหว่างผลประโยชน์ทางการเงินส่วนบุคคลและการวางแนวจริยธรรม พูดจริง ผลนี้แนะนำว่า บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะมีอุดมการณ์จะในต่อหน้าของโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการตัดสินใจทางธุรกิจส่วนตัว มีแนวโน้มจะ ย้ายไปอุดมการณ์ขอตำแหน่งเพิ่มเติม นั่นคือ คนอุดมการณ์น่าจะ รู้สึกลำบากใจในจริยธรรมในการตัดสินใจ และนำความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้อาจเกิดขึ้น กำหนดสถานการณ์ชุดเดียวกัน บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มเติม relativistic จะเห็นได้ชัดมักจะ ชอบผลบวก (ประโยชน์ส่วนตัว)ที่เป็นไปได้ ซึ่งมีแนวโน้มที่หนุนตำแหน่ง relativistic ของพวกเขา ผลเหล่านี้มักจะสอดคล้องกับผลการวิจัย Forsyth (1980) รายงานว่า และผลลัพธ์เหล่านี้จะน่าสนใจหมดตามงานวิจัยก่อนหน้านี้(เช่น Shaub et al., 1993 ดักลาสและ Wier, 2000), ซึ่งบุคคล เมื่อเผชิญกับ dilemmas อื่น ๆ ธุรกิจ มีแนวโน้มที่หนุนแนวจริยธรรมของพวกเขา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

สมมติฐานที่ 2 ที่คาดว่ามีความสัมพันธ์เชิงลบ () 0.08 สัมประสิทธิ์) ระหว่างผลประโยชน์ทางการเงินส่วนบุคคลและการวางแนวทางจริยธรรม จวนพูดผลนี้แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอุดมคติมากขึ้นจะ,
ในที่ที่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์ส่วนตัวจากการตัดสินใจทางธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะย้ายไปยัง
ตำแหน่งที่มีอุดมการณ์มากขึ้นอย่างมาก นั่นคือคนในอุดมคติดูเหมือนว่าจะรู้สึกกระอักกระอ่วนจริยธรรมที่มีอยู่ในการตัดสินใจและนำมาใช้เป็นความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นนี้ ให้ชุดเดียวกันของสถานการณ์บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์มากขึ้นเห็นได้ชัดจะมีแนวโน้มที่จะชอบผลกระทบเชิงบวก (ผลประโยชน์ส่วนตัว)
ที่มีความเป็นไปได้ที่มีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ของพวกเขาตำแหน่ง ผลเหล่านี้มักจะสอดคล้องกับ
ผลการวิจัยที่แจคเกิล (1980) รายงานและผลเหล่านี้จะสังหรณ์ใจที่น่าสนใจจากการวิจัยก่อน
(เช่น Shaub et al., 1993 ดักลาสและ Wier, 2000) ที่ประชาชนเมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่น ๆ อุปสรรคทางธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างการวางแนวทางจริยธรรมของพวกเขา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สมมติฐานที่ 2 ที่ทำนายความสัมพันธ์เชิงลบ ( 1 ) 0.08 ) ระหว่างผลประโยชน์ทางการเงินส่วนบุคคลและจริยธรรมปฐมนิเทศ จะพูดไป ผลที่ได้นี้แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจะ
ต่อหน้าโอกาสได้ประโยชน์จากการตัดสินใจทางธุรกิจ มีแนวโน้มที่จะย้ายไปเป็นตำแหน่งในอุดมคติมากขึ้น
อย่างยิ่ง นั่นคือบุคคลในอุดมคติน่าจะรู้สึกสถานการณ์เชิงจริยธรรมที่แท้จริงในการตัดสินใจ และรับการลงโทษที่แข็งแกร่งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นนี้ ได้รับชุดเดียวกันของสถานการณ์ บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะเป็นแสงมากขึ้นจะเห็นได้ชัดมักจะชอบผลเป็นบวก ( ผลประโยชน์ส่วนตัว )
ที่เป็นไปได้ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างตำแหน่งแสงของพวกเขาผลลัพธ์เหล่านี้โดยทั่วไปในบรรทัดกับ
ค้นพบว่า ฟอร์ซิท ( 1980 ) รายงานและผลการวิเคราะห์สังหรณ์ใจดูดตาม
การวิจัยก่อน ( เช่น shaub et al . , 1993 , ดักลาสและเวียร์ , 2000 ) ซึ่งบุคคล เมื่อเผชิญกับอุปสรรคของธุรกิจอื่น ๆมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างการปฐมนิเทศจริยธรรมของพวกเขา