จะแก้ปัญหาเด็กไทยเรียนอ่อนได้อย่างไร
จะแก้ปัญหาเด็กไทยเรียนอ่อนได้อย่างไร
ปัญหานักเรียนไทยสอบระดับชาติได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50% ในทุกวิชา รวมทั้งต่ำลงจากปีก่อนๆ ด้วย เป็นปัญหาใหญ่ที่จะทำให้ประเทศไทยถูกประเทศอื่นแซงหน้าไปได้มากกว่านี้อีก การใช้งบประมาณการศึกษาเพิ่มไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างได้ผลเสมอไป
ประเทศไทยนั้นใช้งบเพื่อการศึกษาถึง 20-25% ของงบทั้งประเทศ สูงกว่าจีนและเกาหลีใต้ แต่เด็กไทยได้เรียนถึงชั้นมัธยมเป็นสัดส่วนต่อประชากรน้อยกว่า 2 ประเทศนี้ และคุณภาพของนักเรียนโดยเฉลี่ยก็ต่ำกว่า การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องทำหลายทาง ทั้งในการจัดสรรงบประมาณกำลังคนใหม่ไปหนุนช่วยโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทที่มีครู อุปกรณ์การเรียนการสอนงบประมาณสนับสนุนน้อย แก้ไขปัญหาด้านจิตวิทยาในการเรียนรู้ของนักเรียน ปัญหาวิธีการและคุณภาพในการสอนของครูอาจารย์ (ความพร้อมของผู้เรียน และผู้สอน) โดยใช้ทั้งปัญญาและความรักความเอาใจใส่ต่อเด็กจริง ๆ
สาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาการเรียนได้ไม่ดี ในมุมมองของนักจิตวิทยาการศึกษา
1. การที่ครูอาจารย์ (รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง) มีทัศนคติที่ผิดๆ ว่า การเรียนเก่งหรือไม่เก่งเป็นผลมาจากความฉลาดมาตั้งแต่เกิด และมักจะประทับตราว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งเป็นเด็กโง่ สมองทึบมาโดยธรรมชาติ ไม่มีทางจะเรียนให้เก่งขึ้นได้มากไปกว่านี้ ทำให้ครูอาจารย์ไม่คาดหวังเด็กคนนั้นหรือกลุ่มนั้นและสอนไปอย่างนั้นเอง ผู้เรียนที่ถูกคนอื่นประทับตราให้ก็มักเชื่อตามนั้น ไม่มีความภูมิใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยไม่มุมานะ ไม่ตั้งใจที่จะเรียนให้ดีขึ้น บางคนหันไปหาจุดเด่นที่จะให้คนยอมรับด้านอื่น เช่นเป็นคนเกเรเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนไป
การวิจัยพบว่าหากครูอาจารย์และผู้เรียนเชื่อว่า ผู้เรียนสามารถเรียนให้เก่งขึ้นได้ และใช้วิธีการสอน/การเรียนที่เหมาะสม ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ มุมานะเรียน และเรียนได้ดีขึ้นจริง ๆ เพราะสมองคนโดยทั่วไป (ถ้าไม่มีปัญหาทางกายภาพ) พร้อมที่จะเรียนรู้ในทางใดทางหนึ่ง เพื่อการอยู่รอดอยู่เสมออยู่แล้ว แทนที่จะไปโทษว่าเด็กโง่ ครูอาจารย์ต้องคิดใหม่ว่าจะหาวิธีการสอนอย่างไรที่จะทำให้เด็กที่ไม่เก่ง สนใจและเข้าใจเรียนรู้ได้เพิ่มขึ้น
นักเรียนไทยนอกจากจะอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษแล้วยังอ่อนภาษาไทยด้วย เช่นเด็กป. 2 ป.3 จำนวนหลายหมื่นคนยังอ่านหนังสือไม่ได้หรือไม่คล่อง ซึ่งถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไขการสอนการเรียนใหม่ เด็กจำนวนมากต้องออกกลางคัน เรียนไม่ถึงภาคบังคับ 9 ปี อย่าไปเพ้อฝันหรือโม้ว่าเด็กไทยทุกคนต้องได้เรียนฟรี 15 ปีเลย การใช้งบประมาณไปซื้อของแจกผู้เรียนไม่ได้ช่วยพัฒนาคุณภาพแต่อย่างใด
2. ปัญหาส่วนตัวของผู้เรียน ปัญหาทางกายภาพ เช่นเด็กฟังหรือมองเห็นได้ไม่ดี (หูตึง, สายตาสั้น, เอียงฯลฯ) ควรมีการตรวจสอบสุขภาพร่างกายประจำปีเพื่อหาทางแก้ไข บางคนอาจมีปัญหาด้านการขาดความสามารถในการเรียนรู้ (LD) ในด้านการอ่านและหรือด้านอื่นๆ ซึ่งพวกเขาควรต้องได้รับการศึกษาพิเศษ โดยครูที่เข้าใจเรื่องนี้หรือได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ ถ้าไม่มีนักจิตวิทยาการศึกษาหรือครูที่รู้จิตวิทยาการศึกษามาช่วยแยกแยะปัญหาการเรียนได้ช้าของเด็กแต่ละคน ปล่อยให้เขาเรียนกับเด็กปกติอื่นๆ เขาก็จะเรียนตามเพื่อนไม่ทันและกลายเป็นปมด้อยว่าตัวเองโง่ เรียนไม่เก่ง ทั้งๆ ที่ถ้าเรามีจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับการทำงานของสมองของแต่ละคน ซึ่งมีสไตล์, มีความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน นักเรียนก็จะมีโอกาสเรียนได้ดีขึ้น
3. ปัญหาปัจจัยสภาพแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ของผู้เรียน สภาพแวดล้อมของครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนมาก เด็กที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่เข้มงวดมากไป หรือปล่อยปละหย่อนยาน ไม่ฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง ครอบครัวที่หย่าร้าง, พ่อแม่แยกกันอยู่หรือพ่อแม่ไปทำงานแดนไกล ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกๆ มีปัญหาทางเศรษฐกิจมาก มักจะทำให้เด็กเครียดกังวลและเรียนไม่ได้ดี เมื่อเทียบกับเด็กที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสนับสนุนให้กำลังใจ โดยไม่ตัดสินลูกมากเกินไป เด็กกลุ่มหลังจะมีความมั่นใจ มีทัศนคติในทางบวกและเรียนได้ดีกว่า
สภาพแวดล้อมที่โรงเรียนอาจมีผลทางอารมณ์ต่อเด็กด้วย เช่นการถูกคุกคาม กลั่นแกล้ง , รีดไถโดยเด็กเกเร, การกลัวครูที่ดุ, เข้มงวดมากฯลฯ ทำให้เด็กกลัว กังวล ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่มีอารมณ์ที่จะเรียน นี่คือปัญหาที่ผู้ใหญ่ต้องหาทางช่วย ไม่ใช่แค่วิจารณ์ว่าเด็กรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยเอาไหน
โรงเรียนควรจะสนใจหาข้อมูลและมีการติดต่อกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อขอให้ช่วยสร้างบรรยากาศทางครอบครัวที่ช่วยเด็ก ทั้งชุมชนและรัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลือด้วย หลายประเทศมีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาเข้ามาช่วย เราต้องลงทุนด้านนี้ด้วย ไม่ใช่ลงทุนแต่สร้างอาคาร ซื้ออุปกรณ์ ซื้อเครื่องแบบ หนังสือแจกนักเรียน
ส่วนปัญหาสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ครูอาจารย์ก็ต้องใส่ใจ และหาทางแก้ไขด้วย การเน้นแต่การสอนวิชาการและวิชาชีพ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ของเด็กถึงจะปรับปรุงการสอบให้ดีมีเทคโนโลยีการสื่อสารมาช่วยแค่ไหน ก็อาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย ถ้าผู้เรียนมีปัญหาสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือปรับปรุงแก้ไข
ชั้นเรียนไม่ควรใหญ่เกินไป ครูอาจารย์จะได้รู้จักเด็ก ได้ทั่วถึง หลักสูตรและระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐต้องเปลี่ยนไปเพื่อช่วยให้ครูอาจารย์ ไม่ต้องรับภาระการสอนแบบเน้นปริมาณเนื้อหาตามหลักสูตรมากไป และต้องมีการจัดฝึกอบรมครูให้เข้าใจและสนใจปัญหาจิตวิทยาของเด็กมากขึ้น สนใจดูแลช่วยเหลือเด็กมากขึ้น การให้ผลตอบแทนครู ควรดูที่ความเอาใจใส่ในการดูแลเด็ก และช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ดูจากการทำผลงานด้านเอกสารและต่อไปจะดูผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนการสอบมาตรฐานของชาติ ซึ่งโรงเรียนเล็กในชนบทย่อมเสียเปรียบอยู่แล้ว ครูที่มีปัญหาทางอารมณ์เสียเอง ทำให้เด็กเกลียดครู เกลียดโรงเรียน ควรถูกพิจารณาโยกย้ายไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน
4. ปัญหาสภาพแวดล้อมด้านทัศนคติของชุมชนและสังคม ทัศนคติของครูอาจารย์, ชุมชนและสังคมต่อโรงเรียนประเภทใดประเภทหนึ่งหรือในเขตใดเขตหนึ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนนั้น หากเป็นทั
จะแก้ปัญหาเด็กไทยเรียนอ่อนได้อย่างไรจะแก้ปัญหาเด็กไทยเรียนอ่อนได้อย่างไร ปัญหานักเรียนไทยสอบระดับชาติได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50% ในทุกวิชา รวมทั้งต่ำลงจากปีก่อนๆ ด้วย เป็นปัญหาใหญ่ที่จะทำให้ประเทศไทยถูกประเทศอื่นแซงหน้าไปได้มากกว่านี้อีก การใช้งบประมาณการศึกษาเพิ่มไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างได้ผลเสมอไป ประเทศไทยนั้นใช้งบเพื่อการศึกษาถึง 20-25% ของงบทั้งประเทศ สูงกว่าจีนและเกาหลีใต้ แต่เด็กไทยได้เรียนถึงชั้นมัธยมเป็นสัดส่วนต่อประชากรน้อยกว่า 2 ประเทศนี้ และคุณภาพของนักเรียนโดยเฉลี่ยก็ต่ำกว่า การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องทำหลายทาง ทั้งในการจัดสรรงบประมาณกำลังคนใหม่ไปหนุนช่วยโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทที่มีครู อุปกรณ์การเรียนการสอนงบประมาณสนับสนุนน้อย แก้ไขปัญหาด้านจิตวิทยาในการเรียนรู้ของนักเรียน ปัญหาวิธีการและคุณภาพในการสอนของครูอาจารย์ (ความพร้อมของผู้เรียน และผู้สอน) โดยใช้ทั้งปัญญาและความรักความเอาใจใส่ต่อเด็กจริง ๆ
สาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาการเรียนได้ไม่ดี ในมุมมองของนักจิตวิทยาการศึกษา
1. การที่ครูอาจารย์ (รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง) มีทัศนคติที่ผิดๆ ว่า การเรียนเก่งหรือไม่เก่งเป็นผลมาจากความฉลาดมาตั้งแต่เกิด และมักจะประทับตราว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งเป็นเด็กโง่ สมองทึบมาโดยธรรมชาติ ไม่มีทางจะเรียนให้เก่งขึ้นได้มากไปกว่านี้ ทำให้ครูอาจารย์ไม่คาดหวังเด็กคนนั้นหรือกลุ่มนั้นและสอนไปอย่างนั้นเอง ผู้เรียนที่ถูกคนอื่นประทับตราให้ก็มักเชื่อตามนั้น ไม่มีความภูมิใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยไม่มุมานะ ไม่ตั้งใจที่จะเรียนให้ดีขึ้น บางคนหันไปหาจุดเด่นที่จะให้คนยอมรับด้านอื่น เช่นเป็นคนเกเรเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนไป
การวิจัยพบว่าหากครูอาจารย์และผู้เรียนเชื่อว่า ผู้เรียนสามารถเรียนให้เก่งขึ้นได้ และใช้วิธีการสอน/การเรียนที่เหมาะสม ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ มุมานะเรียน และเรียนได้ดีขึ้นจริง ๆ เพราะสมองคนโดยทั่วไป (ถ้าไม่มีปัญหาทางกายภาพ) พร้อมที่จะเรียนรู้ในทางใดทางหนึ่ง เพื่อการอยู่รอดอยู่เสมออยู่แล้ว แทนที่จะไปโทษว่าเด็กโง่ ครูอาจารย์ต้องคิดใหม่ว่าจะหาวิธีการสอนอย่างไรที่จะทำให้เด็กที่ไม่เก่ง สนใจและเข้าใจเรียนรู้ได้เพิ่มขึ้น
นักเรียนไทยนอกจากจะอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษแล้วยังอ่อนภาษาไทยด้วย เช่นเด็กป. 2 ป.3 จำนวนหลายหมื่นคนยังอ่านหนังสือไม่ได้หรือไม่คล่อง ซึ่งถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไขการสอนการเรียนใหม่ เด็กจำนวนมากต้องออกกลางคัน เรียนไม่ถึงภาคบังคับ 9 ปี อย่าไปเพ้อฝันหรือโม้ว่าเด็กไทยทุกคนต้องได้เรียนฟรี 15 ปีเลย การใช้งบประมาณไปซื้อของแจกผู้เรียนไม่ได้ช่วยพัฒนาคุณภาพแต่อย่างใด
2. ปัญหาส่วนตัวของผู้เรียน ปัญหาทางกายภาพ เช่นเด็กฟังหรือมองเห็นได้ไม่ดี (หูตึง, สายตาสั้น, เอียงฯลฯ) ควรมีการตรวจสอบสุขภาพร่างกายประจำปีเพื่อหาทางแก้ไข บางคนอาจมีปัญหาด้านการขาดความสามารถในการเรียนรู้ (LD) ในด้านการอ่านและหรือด้านอื่นๆ ซึ่งพวกเขาควรต้องได้รับการศึกษาพิเศษ โดยครูที่เข้าใจเรื่องนี้หรือได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ ถ้าไม่มีนักจิตวิทยาการศึกษาหรือครูที่รู้จิตวิทยาการศึกษามาช่วยแยกแยะปัญหาการเรียนได้ช้าของเด็กแต่ละคน ปล่อยให้เขาเรียนกับเด็กปกติอื่นๆ เขาก็จะเรียนตามเพื่อนไม่ทันและกลายเป็นปมด้อยว่าตัวเองโง่ เรียนไม่เก่ง ทั้งๆ ที่ถ้าเรามีจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับการทำงานของสมองของแต่ละคน ซึ่งมีสไตล์, มีความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน นักเรียนก็จะมีโอกาสเรียนได้ดีขึ้น
3. ปัญหาปัจจัยสภาพแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ของผู้เรียน สภาพแวดล้อมของครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนมาก เด็กที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่เข้มงวดมากไป หรือปล่อยปละหย่อนยาน ไม่ฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง ครอบครัวที่หย่าร้าง, พ่อแม่แยกกันอยู่หรือพ่อแม่ไปทำงานแดนไกล ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกๆ มีปัญหาทางเศรษฐกิจมาก มักจะทำให้เด็กเครียดกังวลและเรียนไม่ได้ดี เมื่อเทียบกับเด็กที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสนับสนุนให้กำลังใจ โดยไม่ตัดสินลูกมากเกินไป เด็กกลุ่มหลังจะมีความมั่นใจ มีทัศนคติในทางบวกและเรียนได้ดีกว่า
สภาพแวดล้อมที่โรงเรียนอาจมีผลทางอารมณ์ต่อเด็กด้วย เช่นการถูกคุกคาม กลั่นแกล้ง , รีดไถโดยเด็กเกเร, การกลัวครูที่ดุ, เข้มงวดมากฯลฯ ทำให้เด็กกลัว กังวล ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่มีอารมณ์ที่จะเรียน นี่คือปัญหาที่ผู้ใหญ่ต้องหาทางช่วย ไม่ใช่แค่วิจารณ์ว่าเด็กรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยเอาไหน
โรงเรียนควรจะสนใจหาข้อมูลและมีการติดต่อกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อขอให้ช่วยสร้างบรรยากาศทางครอบครัวที่ช่วยเด็ก ทั้งชุมชนและรัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลือด้วย หลายประเทศมีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาเข้ามาช่วย เราต้องลงทุนด้านนี้ด้วย ไม่ใช่ลงทุนแต่สร้างอาคาร ซื้ออุปกรณ์ ซื้อเครื่องแบบ หนังสือแจกนักเรียน
ส่วนปัญหาสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ครูอาจารย์ก็ต้องใส่ใจ และหาทางแก้ไขด้วย การเน้นแต่การสอนวิชาการและวิชาชีพ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ของเด็กถึงจะปรับปรุงการสอบให้ดีมีเทคโนโลยีการสื่อสารมาช่วยแค่ไหน ก็อาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย ถ้าผู้เรียนมีปัญหาสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือปรับปรุงแก้ไข
ชั้นเรียนไม่ควรใหญ่เกินไป ครูอาจารย์จะได้รู้จักเด็ก ได้ทั่วถึง หลักสูตรและระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐต้องเปลี่ยนไปเพื่อช่วยให้ครูอาจารย์ ไม่ต้องรับภาระการสอนแบบเน้นปริมาณเนื้อหาตามหลักสูตรมากไป และต้องมีการจัดฝึกอบรมครูให้เข้าใจและสนใจปัญหาจิตวิทยาของเด็กมากขึ้น สนใจดูแลช่วยเหลือเด็กมากขึ้น การให้ผลตอบแทนครู ควรดูที่ความเอาใจใส่ในการดูแลเด็ก และช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ดูจากการทำผลงานด้านเอกสารและต่อไปจะดูผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนการสอบมาตรฐานของชาติ ซึ่งโรงเรียนเล็กในชนบทย่อมเสียเปรียบอยู่แล้ว ครูที่มีปัญหาทางอารมณ์เสียเอง ทำให้เด็กเกลียดครู เกลียดโรงเรียน ควรถูกพิจารณาโยกย้ายไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน
4. ปัญหาสภาพแวดล้อมด้านทัศนคติของชุมชนและสังคม ทัศนคติของครูอาจารย์, ชุมชนและสังคมต่อโรงเรียนประเภทใดประเภทหนึ่งหรือในเขตใดเขตหนึ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนนั้น หากเป็นทั
การแปล กรุณารอสักครู่..

50% ในทุกวิชารวมทั้งต่ำลงจากปีก่อน ๆ ด้วย 20-25% ของงบทั้งประเทศสูงกว่าจีนและเกาหลีใต้ 2 ประเทศนี้ การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องทำหลายทาง (ความพร้อมของผู้เรียนและผู้สอน) ในมุมมองของนักจิตวิทยาการศึกษาที่ 1 การที่ครูอาจารย์ (รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง) มีทัศนคติที่ผิด ๆ ว่า สมองทึบมาโดยธรรมชาติ ไม่มีความภูมิใจไม่มั่นใจในตัวเองก็เลยไม่มุมานะไม่ตั้งใจที่จะเรียนให้ดีขึ้น ผู้เรียนสามารถเรียนให้เก่งขึ้นได้ ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจมุมานะเรียนและเรียนได้ดีขึ้นจริง ๆ เพราะสมองคนโดยทั่วไป (ถ้าไม่มีปัญหาทางกายภาพ) พร้อมที่จะเรียนรู้ในทางใดทางหนึ่งเพื่อการอยู่รอดอยู่เสมออยู่แล้วแทนที่จะไปโทษว่าเด็ก โง่ วิทยาศาสตร์ภาษาอังกฤษแล้วยังอ่อนภาษาไทยด้วยเช่นเด็กป 2 ป. 3 เด็กจำนวนมากต้องออกกลางคันเรียนไม่ถึงภาคบังคับ 9 ปี 15 ปีเลย ปัญหาส่วนตัวของผู้เรียนปัญหาทางกายภาพเช่นเด็กฟังหรือมองเห็นได้ไม่ดี (หูตึง, สายตาสั้น, เอียง ฯลฯ ) (LD) ในด้านการอ่านและหรือด้านอื่น ๆ ปล่อยให้เขาเรียนกับเด็กปกติอื่น ๆ เรียนไม่เก่งทั้งๆ ซึ่งมีสไตล์, มีความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน หรือปล่อยปละหย่อนยานไม่ฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเองครอบครัวที่หย่าร้าง, ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ๆ มีปัญหาทางเศรษฐกิจมาก โดยไม่ตัดสินลูกมากเกินไปเด็กกลุ่มหลังจะมีความมั่นใจ เช่นการถูกคุกคามกลั่นแกล้ง, รีดไถโดยเด็กเกเร, การกลัวครูที่ดุ, เข้มงวดมาก ฯลฯ ทำให้เด็กกลัวกังวลไม่อยากไปโรงเรียนไม่มีอารมณ์ที่จะเรียน หลายประเทศมีนักสังคมสงเคราะห์นักจิตวิทยาเข้ามาช่วยเราต้องลงทุนด้านนี้ด้วยไม่ใช่ลงทุน แต่สร้างอาคารซื้ออุปกรณ์ซื้อเครื่องแบบ ครูอาจารย์ก็ต้องใส่ใจและหาทางแก้ไขด้วยการเน้น แต่การสอนวิชาการและวิชาชีพ ก็อาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย ครูอาจารย์จะได้รู้จักเด็กได้ทั่วถึง สนใจดูแลช่วยเหลือเด็กมากขึ้นการให้ผลตอบแทนครูควรดูที่ความเอาใจใส่ในการดูแลเด็ก ครูที่มีปัญหาทางอารมณ์เสียเองทำให้เด็กเกลียดครูเกลียดโรงเรียน ทัศนคติของครูอาจารย์, หากเป็นทั
การแปล กรุณารอสักครู่..
