The biggest boom in history of stee

The biggest boom in history of steel industry is that of the 1950s and 1960s, when the steel industry was driven by the post-War boom in the developed world. Where as the current boom is being led by growth in the developing world, particularly China, India and Brazil. Indeed, the China factor is huge and gives the impression that the boom has a broader basis than it actually has. In 2005, China produced 349 million tonnes of crude steel, accounting for almost one-third of the global steel output. Even this was not enough to feed the country's appetite for growth. It was the biggest importer of steel and the sixth biggest exporter of steel in the world; in 2005, its net imports amounted to 12 million tonnes and its consumption of steel also amounted to a little less than one-third of the world consumption. China is clearly the engine that has driven steel consumption in the Asian region. Its consumption, as a percentage of the total consumption in Asia, increased from 41 per cent in 1999 to 57 per cent in 2005. Steel prices, primarily buoyed by the Chinese boom, hit their peak between 2002 and 2004. This ensured high profits from investments in steel.

Despite the moves towards consolidation, steel capacities are still fragmented. The gap between Arcelor-Mittal and Nippon Steel, the second biggest producer, highlights this. Nippon produced 32 million tonnes of steel in 2005 - less than one-third that of the industry leader. More significantly, although the Tata-Corus combine will be placed at number five in the global steel pecking order, its capacity would still not be very far ahead of most companies in the top 15. This implies that under the threat of further consolidation the Tata's may well come under pressure to acquire more capacities from rivals or expose themselves to attack from aggressive bidders.

The point about consolidation is that it is only happening at the top. The top 10 companies produce about 25 per cent of the global steel output. The rest of the steel - about 75 per cent of the global capacity - is still widely dispersed over 62 countries around the world, in plants with much smaller capacities. Industry sources say that consolidation needs to happen at the bottom end of the steel market. "The smaller producers, rather than the bigger ones, affect the market more," said a senior official in the Ministry of Steel and Mines. "The pressure building up at the bottom can result in the bigger producers losing control of the market suddenly and quickly."

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

The biggest boom in history of steel industry is that of the 1950s and 1960s, when the steel industry was driven by the post-War boom in the developed world. Where as the current boom is being led by growth in the developing world, particularly China, India and Brazil. Indeed, the China factor is huge and gives the impression that the boom has a broader basis than it actually has. In 2005, China produced 349 million tonnes of crude steel, accounting for almost one-third of the global steel output. Even this was not enough to feed the country's appetite for growth. It was the biggest importer of steel and the sixth biggest exporter of steel in the world; in 2005, its net imports amounted to 12 million tonnes and its consumption of steel also amounted to a little less than one-third of the world consumption. China is clearly the engine that has driven steel consumption in the Asian region. Its consumption, as a percentage of the total consumption in Asia, increased from 41 per cent in 1999 to 57 per cent in 2005. Steel prices, primarily buoyed by the Chinese boom, hit their peak between 2002 and 2004. This ensured high profits from investments in steel.แม้จะย้ายไปรวม กำลังการผลิตเหล็กจะยังคงกระจัดกระจาย ช่องว่างระหว่าง Arcelor Mittal และนิปปอนเหล็ก ผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดสอง เน้นนี้ นิปปอนผลิต 32 ล้านตันของเหล็กในปี 2005 - น้อยกว่าหนึ่งในสามของผู้นำอุตสาหกรรมการ เพิ่มเติมมาก แม้ว่าคอรัสทาทารวมจะถูกวางที่เลขห้าในโลกเหล็กจิกใบ ผลิตของจะยังไม่เป็นมากไปบริษัทส่วนใหญ่ในชั้น 15 หมายความว่า ภายใต้ภัยคุกคามจากการรวม ของทาทาจะดีมาภายใต้ความดันจะได้รับกำลังเพิ่มเติมจากคู่แข่ง หรือการเปิดเผยตัวเองโจมตีจากก้าวร้าวผู้ชนะการประมูลจุดเกี่ยวกับรวมอยู่ที่เป็นเฉพาะเกิดขึ้นที่ด้านบน ด้านบน 10 บริษัทผลิตประมาณ 25 ร้อยละของผลผลิตเหล็กทั่วโลก ส่วนเหลือของเหล็ก - ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตทั่วโลก - เป็นอย่างกว้างขวางยังคงกระจายกว่า 62 ประเทศทั่วโลก พืชมีขนาดเล็กมากด้วย แหล่งอุตสาหกรรมบอกว่า รวมต้องเกิดขึ้นที่ปลายล่างของตลาดเหล็ก "ผู้ผลิตขนาดเล็ก แทนใหญ่ มีผลต่อตลาดมาก กล่าวว่า ข้าราชการประจำในกระทรวงเหล็กและเหมืองแร่ "ความดันสร้างขึ้นที่ด้านล่างอาจทำผู้ผลิตใหญ่ที่สูญเสียการควบคุมของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และก็"

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

บูมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเหล็กเป็นที่ของปี 1950 และ 1960 เมื่ออุตสาหกรรมเหล็กได้แรงหนุนจากบูมหลังสงครามในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในกรณีที่เป็นความเจริญในปัจจุบันจะถูกนำโดยการเจริญเติบโตในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจีนอินเดียและบราซิล อันที่จริงเป็นปัจจัยที่ประเทศจีนเป็นอย่างมากและทำให้รู้สึกว่าบูมมีพื้นฐานที่กว้างขึ้นกว่าที่เป็นจริงมี ในปี 2005 จีนผลิต 349,000,000 ตันเหล็กดิบคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของการผลิตเหล็กทั่วโลก แม้เรื่องนี้จะไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงความอยากอาหารของประเทศสำหรับการเจริญเติบโต มันเป็นผู้นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดของเหล็กและผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดที่หกของเหล็กในโลก; ในปี 2005 การนำเข้าสุทธิเป็นจำนวนเงินถึง 12 ล้านตันและการบริโภคของเหล็กยังมีจำนวนน้อยกว่าหนึ่งในสามของการบริโภคทั่วโลก ประเทศจีนเป็นอย่างชัดเจนเครื่องยนต์ที่มีการขับเคลื่อนการบริโภคเหล็กในภูมิภาคเอเชีย การบริโภคของมันเป็นเปอร์เซ็นต์ของการบริโภครวมในเอเชียเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 41 ในปี 1999 เพื่อร้อยละ 57 ในปี 2005 ราคาเหล็กแม้จะเป็นหลักโดยบูมจีนตีสูงสุดของพวกเขาระหว่างปี 2002 และ 2004 ซึ่งจะทำให้มั่นใจกำไรสูง เงินลงทุนในเหล็ก. แม้จะมีการเคลื่อนไหวไปสู่การรวมความสามารถเหล็กยังคงมีการแยกส่วน ช่องว่างระหว่าง Arcelor Mittal-และนิปปอนสตีลผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดที่สองไฮไลท์นี้ Nippon ผลิต 32 ล้านตันในปี 2005 - น้อยกว่าหนึ่งในสามของผู้นำในอุตสาหกรรม เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญถึงแม้ว่าทาทา-Corus รวมกันจะถูกวางไว้ที่บ้านเลขที่ห้าในลำดับเหล็กทั่วโลก, ความสามารถของตนจะยังคงไม่ไกลไปข้างหน้าของ บริษัท ส่วนใหญ่ในด้านบน 15 นี่ก็หมายความว่าภายใต้การคุกคามของการรวมต่อไปของทาทา อาจจะมาได้ดีภายใต้ความกดดันที่จะได้รับความจุมากขึ้นจากคู่แข่งหรือเปิดเผยตัวเองที่จะถูกโจมตีจากผู้ชนะการประมูลก้าวร้าว. เกี่ยวกับการรวมจุดก็คือว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ด้านบน 10 บริษัท ผลิตประมาณร้อยละ 25 ของการส่งออกเหล็กทั่วโลก ส่วนที่เหลือของเหล็ก - ประมาณร้อยละ 75 ของกำลังการผลิตทั่วโลก - ยังคงกระจายกันอย่างแพร่หลายกว่า 62 ประเทศทั่วโลกในพืชที่มีความจุขนาดเล็กมาก แหล่งอุตสาหกรรมกล่าวว่าการควบรวมกิจการที่ต้องเกิดขึ้นที่ปลายด้านล่างของตลาดเหล็ก "ผู้ผลิตขนาดเล็กมากกว่าคนที่ใหญ่กว่าส่งผลกระทบต่อตลาดมากขึ้น" เจ้าหน้าที่อาวุโสในกระทรวงเหล็กและการเหมืองแร่กล่าวว่า "ความดันการสร้างขึ้นที่ด้านล่างจะส่งผลให้ผู้ผลิตที่ใหญ่กว่าสูญเสียการควบคุมของตลาดได้อย่างรวดเร็วและก็."

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บูมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเหล็กนั้น คือปี 1950 และ 1960 เมื่ออุตสาหกรรมเหล็กถูกขับเคลื่อนโดยการโพสต์สงครามบูมในประเทศพัฒนาแล้ว ที่เป็นบูมในปัจจุบันคือนำโดยการเติบโตในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะ จีน อินเดีย และบราซิล แน่นอน ส่วนจีนมีขนาดใหญ่ และให้ความประทับใจที่บูมมีฐานกว้างกว่าจริงด้วย ใน ปี 2005จีนผลิต 349 ล้านตันของเหล็กดิบ , การบัญชีสำหรับเกือบหนึ่งในสามของผลผลิตเหล็กทั่วโลก นี้ยังไม่เพียงพอที่จะสนองความอยากของประเทศสำหรับการเติบโต มันเป็นที่ใหญ่ที่สุดของเหล็กนำเข้า และส่งออกเหล็ก 6 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 2005การนำเข้าของปีก่อนจำนวน 12 ล้านตัน และการบริโภคของเหล็กก็มีจำนวนน้อยกว่าหนึ่งในสามของโลก ปริมาณการใช้ จีนอย่างชัดเจนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนการบริโภคเหล็กในภูมิภาคเอเชีย ของปริมาณการใช้ เป็นเปอร์เซ็นต์ของการบริโภคทั้งหมดในเอเชียเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 41 ในปี 57 เปอร์เซ็นต์ใน 2005 ราคาเหล็กหลัก buoyed โดยบูมจีนตีสูงสุดระหว่างปี 2002 และ 2004 นี้มั่นใจกำไรสูงจากการลงทุนในเหล็ก

แม้จะย้ายไปสู่การรวมการผลิตเหล็กก็แตกกระจาย ช่องว่างระหว่างอาร์เซเลอร์มิททัล และนิปปอน สตีล ผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด สองภาพนี้ญี่ปุ่นผลิต 32 ล้านตันของเหล็ก 2005 - น้อยกว่าหนึ่งในสามของผู้นำอุตสาหกรรม เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่า ทาทา คอรัสรวมจะอยู่ที่เลขห้าในระดับโลกเหล็กเพื่อจิก , ความจุของมันจะยังห่างไกลไปข้างหน้าของบริษัทส่วนใหญ่ในด้านบน 15นอกจากนี้ ภายใต้การคุกคามของเพิ่มเติมรวมทาทาก็อาจมาภายใต้ความกดดันที่จะได้รับความสามารถเพิ่มเติมจากคู่แข่งหรือเปิดเผยตัวเองที่จะโจมตีจากผู้ก้าวร้าว

จุด รวมเป็นว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ด้านบน ด้านบน 10 บริษัทผลิตประมาณร้อยละ 25 ของผลผลิตเหล็กทั่วโลกส่วนที่เหลือของเหล็กประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ของความจุ ซึ่งยังเป็นกันอย่างแพร่หลายกระจายกว่า 62 ประเทศทั่วโลก ในพืชที่มีความจุที่มีขนาดเล็กมาก แหล่งอุตสาหกรรมกล่าวว่า รวมต้องเกิดขึ้นที่ปลายล่างของตลาดเหล็ก” ผู้ผลิตขนาดเล็ก มากกว่าคนที่ใหญ่กว่า ส่งผลกระทบต่อตลาดมากกว่า" บอกว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงเหมืองแร่เหล็กและ . ความดันสร้างขึ้นที่ด้านล่างสามารถส่งผลให้ผู้ผลิตขนาดใหญ่สูญเสียการควบคุมของตลาดทันทีและรวดเร็ว . "