Carbon can leave the geosphere in s

Carbon can leave the geosphere in several ways. Carbon dioxide is released during the metamorphosis of carbonate rocks when they are subducted into the earth's mantle. This carbon dioxide can be released into the atmosphere and ocean through volcanoes and hotspots.[15] It can also be removed by humans through the direct extraction of kerogens in the form of fossil fuels. After extraction, fossil fuels are burned to release energy, thus emitting the carbon they store into the atmosphere.
Human influence[edit]
Human activity since the industrial era has changed the balance in the natural carbon cycle. Units are in gigatons.[4]
Since the industrial revolution, human activity has modified the carbon cycle by changing its component's functions and directly adding carbon to the atmosphere.[2]
The largest and most direct human influence on the carbon cycle is through direct emissions from burning fossil fuels, which transfers carbon from the geosphere into the atmosphere. Humans also influence the carbon cycle indirectly by changing the terrestrial and oceanic biosphere.
Over the past several centuries, human-caused land use and land cover change (LUCC) has led to the loss of biodiversity, which lowers ecosystems' resilience to environmental stresses and decreases their ability to remove carbon from the atmosphere. More directly, it often leads to the release of carbon from terrestrial ecosystems into the atmosphere. Deforestation for agricultural purposes removes forests, which hold large amounts of carbon, and replaces them, generally with agricultural or urban areas. Both of these replacement land cover types store comparatively small amounts of carbon, so that the net product of the process is that more carbon stays in the atmosphere.
Other human-caused changes to the environment change ecosystems' productivity and their ability to remove carbon from the atmosphere. Air pollution, for example, damages plants and soils, while many agricultural and land use practices lead to higher erosion rates, washing carbon out of soils and decreasing plant productivity.
Higher temperatures and CO2 levels in the atmosphere increase decomposition rates in soil, thus returning CO2 stored in plant material more quickly to the atmosphere.[citation needed]
However, increased levels of CO2 in the atmosphere can also lead to higher gross primary production. It increases photosynthesis rates by allowing plants to more efficiently use water, because they no longer need to leave their stomata open for such long periods of time in order to absorb the same amount of carbon dioxide. This type of carbon dioxide fertilization affects mainly C3 plants, because C4 plants can already concentrate CO2 effectively.[citation needed]
Humans also affect the oceanic carbon cycle. Current trends in climate change lead to higher ocean temperatures, thus modifying ecosystems. Also, acid rain and polluted runoff from agriculture and industry change the ocean's chemical composition. Such changes can have dramatic effects on highly sensitive ecosystems such as coral reefs, thus limiting the ocean's ability to absorb carbon from the atmosphere on a regional scale and reducing oceanic biodiversity globally.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

คาร์บอนสามารถปล่อย geosphere ในหลายวิธี คุณสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงของหินคาร์บอเนตเมื่อพวกเขากำลัง subducted ในหิ้งของโลก สามารถออกนี้คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศและมหาสมุทรผ่านภูเขาไฟและฮอตสปอ [15] จะสามารถถูกเอาออก โดยมนุษย์ผ่านการสกัดโดยตรง kerogens ในรูปของเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากสกัด เชื้อเพลิงฟอสซิลจะเขียนจะปล่อยพลังงาน จึง เปล่งคาร์บอนที่จะเก็บบรรยากาศอิทธิพลของมนุษย์ [แก้ไข]กิจกรรมมนุษย์นับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงดุลในวัฏจักรคาร์บอนธรรมชาติ หน่วยที่อยู่ใน gigatons [4]ตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ได้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมวัฏจักรคาร์บอน โดยการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบของฟังก์ชัน และเพิ่มคาร์บอนสู่บรรยากาศโดยตรง [2]ที่ใหญ่ที่สุด และตรงที่สุดที่มนุษย์อิทธิพลในวัฏจักรคาร์บอนได้ผ่านการปล่อยก๊าซโดยตรงจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การโอนย้ายคาร์บอนจาก geosphere ที่บรรยากาศ มนุษย์ยังมีอิทธิพลต่อวัฏจักรคาร์บอนทางอ้อม โดยการเปลี่ยนชีวบริเวณภาคพื้น และมหาสมุทรผ่านมาหลายศตวรรษ ที่ดินที่เกิดจากมนุษย์ใช้ และที่ดิน เปลี่ยนฝาครอบ (LUCC) ได้นำการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งช่วยลดความยืดหยุ่นของระบบนิเวศกับสิ่งแวดล้อมความเครียด และลดความสามารถในการเอาคาร์บอนจากบรรยากาศ ขึ้นตรง มันมักทำให้การปล่อยคาร์บอนจากระบบนิเวศภาคพื้นสู่ชั้นบรรยากาศ ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรเอาป่า ที่เก็บขนาดใหญ่ของคาร์บอน และแทนที่ โดยทั่วไป ด้วยพื้นที่เกษตร หรือเมือง ทั้งสองชนิดครอบคลุมที่ดินแทนเก็บจำนวนคาร์บอน เล็กดีอย่างหนึ่งเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สุทธิการ ที่คาร์บอนเพิ่มเติมอยู่ในบรรยากาศอื่น ๆ มนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงผลผลิตของระบบนิเวศและความสามารถในการเอาคาร์บอนจากบรรยากาศ มลพิษทางอากาศ ตัวอย่าง ความเสียหายพืชและดินเนื้อปูน ในขณะที่หลายเกษตร และนำแนวทางการใช้ที่ดินอัตรากัดเซาะสูง ซักผ้าคาร์บอนจากดินเนื้อปูน และผลผลิตพืชลดลงอุณหภูมิสูงและระดับ CO2 ในอัตราการแยกส่วนประกอบเพิ่มบรรยากาศในดิน ความ CO2 จึง เก็บไว้ในพืชวัสดุสู่บรรยากาศได้รวดเร็วขึ้น [ต้องการอ้างอิง]อย่างไรก็ตาม เพิ่มระดับของ CO2 ในบรรยากาศยังสามารถนำการผลิตหลักรวมสูงขึ้น มันเพิ่มอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยให้พืชใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ำ เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ stomata ของพวกเขาสำหรับระยะเวลาดังกล่าวนานเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนเดียวกัน ในปัจจุบันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชนิดนี้มีผลต่อส่วนใหญ่ C3 พืช เนื่องจากพืช C4 สามารถแล้วเข้มข้น CO2 อย่างมีประสิทธิภาพ [ต้องการอ้างอิง]มนุษย์มีผลกระทบต่อวัฏจักรคาร์บอนมหาสมุทร แนวโน้มปัจจุบันในสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายอุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้น การปรับเปลี่ยนระบบนิเวศดังนั้น ยัง ฝนกรดและการไหลบ่าเสียจากการเกษตรและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของมหาสมุทร เปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลอย่างมากในระบบนิเวศที่มีความไวสูงเช่นปะการัง จำกัดของความสามารถในการดูดซับคาร์บอนจากบรรยากาศในระดับภูมิภาคและความหลากหลายทางชีวภาพของมหาสมุทรลดลงทั่วโลกดังนั้น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

คาร์บอนสามารถออกจาก geosphere ในหลายวิธี ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงการเปลี่ยนแปลงของหินคาร์บอเนตเมื่อพวกเขาถูก subducted ลงในเสื้อคลุมของโลก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรผ่านภูเขาไฟและฮอตสปอ. [15] นอกจากนี้ยังสามารถลบออกได้โดยมนุษย์ผ่านการสกัดโดยตรงของ kerogens ในรูปแบบของเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกเผาไหม้จะปล่อยพลังงานจึงเปล่งคาร์บอนพวกเขาเก็บสู่ชั้นบรรยากาศ.
อิทธิพลของมนุษย์ [แก้ไข]
กิจกรรมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลในวัฏจักรคาร์บอนธรรมชาติ หน่วยอยู่ในกิกะตัน. [4]
ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม, กิจกรรมของมนุษย์มีการปรับเปลี่ยนวัฏจักรคาร์บอนโดยการเปลี่ยนฟังก์ชั่นที่เป็นส่วนประกอบของและเพิ่มโดยตรงคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ. [2]
อิทธิพลของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดและตรงที่สุดในวัฏจักรคาร์บอนผ่านโดยตรง การปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งจะโอนคาร์บอนไดออกไซด์จาก geosphere เข้าไปในชั้นบรรยากาศ มนุษย์ยังมีอิทธิพลต่อวัฏจักรคาร์บอนทางอ้อมโดยการเปลี่ยนชีวมณฑลบนพื้นดินและมหาสมุทร.
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมามนุษย์ที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดินและการเปลี่ยนแปลงสิ่งปกคลุมดิน (Lucc) ได้นำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งช่วยลดความยืดหยุ่นของระบบนิเวศที่จะเน้นด้านสิ่งแวดล้อมและ ลดลงความสามารถในการลบคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ โดยตรงก็มักจะนำไปสู่การเปิดตัวของคาร์บอนไดออกไซด์จากระบบนิเวศบกเข้าไปในชั้นบรรยากาศ ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรเอาป่าซึ่งถือจำนวนมากของคาร์บอนและแทนที่พวกเขาโดยทั่วไปกับพื้นที่ทำการเกษตรหรือในเมือง ทั้งสองสิ่งปกคลุมดินทดแทนประเภทนี้จัดเก็บจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคาร์บอนเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สุทธิของกระบวนการคือคาร์บอนมากขึ้นอยู่ในชั้นบรรยากาศ.
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากมนุษย์อื่น ๆ การผลิตระบบนิเวศการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและความสามารถของพวกเขาที่จะเอาคาร์บอนไดออกไซด์จาก บรรยากาศ. มลพิษทางอากาศเช่นพืชความเสียหายและดินในขณะที่หลายการเกษตรและการปฏิบัติที่ใช้ที่ดินนำไปสู่อัตราที่สูงกว่าการกัดเซาะซักผ้าคาร์บอนออกมาจากดินและลดการผลิตพืช.
อุณหภูมิสูงขึ้นและระดับ CO2 ในชั้นบรรยากาศเพิ่มอัตราการย่อยสลายในดินจึงกลับมา CO2 เก็บไว้ในวัสดุปลูกได้รวดเร็วยิ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ. [อ้างจำเป็น]
อย่างไรก็ตามระดับที่เพิ่มขึ้นของ CO2 ในบรรยากาศนอกจากนี้ยังสามารถนำไปสู่การผลิตหลักขั้นต้นสูง มันจะเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงของพืชโดยการอนุญาตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นใช้น้ำเพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องออกจากปากของพวกเขาเปิดเป็นเวลานานเช่นเวลาในการสั่งซื้อที่จะดูดซับปริมาณที่เท่ากันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประเภทของการปฏิสนธิก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้มีผลต่อส่วนใหญ่เป็นพืช C3 เพราะพืช C4 แล้วสามารถมีสมาธิ CO2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. [อ้างจำเป็น]
มนุษย์นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อวัฏจักรคาร์บอนมหาสมุทร ปัจจุบันแนวโน้มในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะสูงกว่าอุณหภูมิของมหาสมุทรจึงปรับเปลี่ยนระบบนิเวศ นอกจากนี้ฝนกรดไหลบ่าและมลพิษจากอุตสาหกรรมการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของมหาสมุทร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลอย่างมากต่อระบบนิเวศที่มีความไวสูงเช่นแนวปะการังจึง จำกัด ความสามารถของมหาสมุทรในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศในระดับภูมิภาคและการลดความหลากหลายทางชีวภาพในมหาสมุทรทั่วโลก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

คาร์บอน สามารถปล่อย geosphere ได้หลายวิธี คาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมาในระหว่างการเปลี่ยนแปลงของหินคาร์บอเนตเมื่อพวกเขา subducted เป็นโลกของเสื้อคลุม นี้สามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรผ่านภูเขาไฟและฮอตสปอต [ 15 ] นอกจากนี้ยังสามารถลบออกได้โดยมนุษย์ผ่านตรงแยก kerogens ในรูปแบบของเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นเผาจะปล่อยพลังงาน จึงเปล่งคาร์บอนที่พวกเขาเก็บไว้ในบรรยากาศ มีอิทธิพลต่อมนุษย์ [ แก้ไข ]

กิจกรรมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนความสมดุลในธรรมชาติ คาร์บอนวัฏจักร หน่วยเป็น gigatons [ 4 ]
นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมกิจกรรมของมนุษย์มีการปรับเปลี่ยนวงจรคาร์บอน โดยการเปลี่ยนชิ้นส่วนและหน้าที่ของตนโดยตรง เพิ่มคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ [ 2 ]
ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลต่อมนุษย์โดยตรงมากที่สุดในวัฏจักรของคาร์บอนผ่านการปล่อยก๊าซโดยตรงจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งย้ายจาก geosphere คาร์บอนสู่บรรยากาศมนุษย์ยังมีผลต่อวัฏจักรคาร์บอนทางอ้อมโดยการเปลี่ยนพื้นดินและมหาสมุทร Biosphere .
ที่ผ่านมาหลายศตวรรษของมนุษย์ที่เกิดจากการใช้ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน เปลี่ยน ( lucc ) ได้นำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งลดความเครียดสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ' ความยืดหยุ่นในการลดความสามารถของพวกเขาเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ เพิ่มเติมโดยตรงมันมักจะนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนจากระบบนิเวศทางบกสู่บรรยากาศ การทำลายป่าเพื่อการเกษตร เอาป่าที่ถือจำนวนมากของคาร์บอนและแทนที่พวกเขาโดยทั่วไป มีพื้นที่ทางการเกษตร หรือในเมือง ทั้งสองเหล่านี้ทดแทนประเภทสิ่งปกคลุมดิน ร้านน้อยเปรียบเทียบปริมาณคาร์บอนเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สุทธิของกระบวนการคือคาร์บอนมากกว่าอยู่ในบรรยากาศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
มนุษย์อื่น ๆสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ ' ประสิทธิภาพและความสามารถของพวกเขาเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ มลพิษในอากาศ เช่น ความเสียหายของพืชและดิน ในขณะที่การปฏิบัติการเกษตรและที่ดินมากมาย นำไปสู่อัตราการกัดกร่อนสูงผ้าคาร์บอนจากดิน และลดผลผลิตพืช
อุณหภูมิที่สูงขึ้นและระดับของ CO2 ในบรรยากาศเพิ่มขึ้น อัตราการย่อยสลายในดินจึงกลับ CO2 เก็บไว้ในวัสดุปลูกได้อย่างบรรยากาศ . อ้างอิง [ จำเป็น ]
แต่เพิ่มระดับของ CO2 ในบรรยากาศสามารถทำให้คาดยอดขายหลักในการผลิตมันเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงของพืชให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการอนุญาตให้ใช้น้ำ เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องไปเปิดปากของพวกเขา เป็นเวลานานๆ เช่น เวลาในการดูดซับปริมาณที่เท่ากันของคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปุ๋ยชนิดนี้มีผลต่อพืช C3 C4 พืชส่วนใหญ่ เพราะสามารถได้สมาธิ CO2 อย่างมีประสิทธิภาพ . [ อ้างอิงที่จำเป็น ]
มนุษย์ส่งผลกระทบต่อวัฏจักรของคาร์บอนมหาสมุทร แนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำไปสู่มหาสมุทรอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้น การปรับเปลี่ยนระบบนิเวศวิทยา นอกจากนี้ ฝนกรดและการปนเปื้อนที่เกิดจากการเกษตรและอุตสาหกรรมการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของมหาสมุทร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจมีผลอย่างมากต่อระบบนิเวศความไวสูงเช่นแนวปะการังดังนั้นการ จำกัด ของมหาสมุทร ความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศในระดับภูมิภาคและลดความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลทั่วโลก