มาม่า"โดดแจมธุรกิจร้านอาหาร ลงขันญี่ปุ่นเปิดราเมนราคาถูกสาขาแรกปีนี้
มาม่าชี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศถึงจุดอิ่มตัว ดิ้นแตกไลน์ธุรกิจใหม่ร้านอาหาร พ่วงต่อยอดธุรกิจเดิม คุยญี่ปุ่นลงขันเปิดร้านราเมนสาขาแรกปีนี้ พร้อมจีบฝรั่งขายเครื่องดื่ม เมินน้ำเปล่า ชาเขียว หวังดันยอดขาย 10 ปี 2 หมื่นล้านบาท
นายสุชัย รัตนเจียเจริญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาม่า เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าสู่ธุรกิจนี้ หลังจากได้เห็นแนวโน้มของธุรกิจร้านอาหารมีทิศทางการเติบโตที่ดี และเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีศักยภาพอย่างมากในตลาดไทย รวมถึงในตลาดโลก ซึ่งได้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการกับผู้ประกอบการร้านอาหารจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมทุนในการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
"เพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก อย่างบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป มาม่า ที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ทำให้ต้องมองว่าธุรกิจใหม่ที่มีทั้งศักยภาพ และโอกาส ตลอดจนสามารถต่อยอดธุรกิจหลักได้ด้วย จึงสนใจในธุรกิจร้านอาหารที่สามารถจะนำบะหมี่เข้าไปเป็นหนึ่งในวัตถุดิบได้ และได้เจรจากับญี่ปุ่น ที่นับว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญร้านอาหารประเภทราเมนแล้ว วางแผนจะร่วมทุนกันในการเปิดธุรกิจใหม่ และให้เป็นร้านราเมนประเภทราคาย่อมเยา หรือลักษณะคล้ายกับร้านฮะจิบัง ราเมน"นายสุชัยกล่าว
ส่วนแผนเบื้องต้นที่วางไว้จะจัดตั้ง เป็นบริษัทใหม่ และเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 10 ล้านบาท สำหรับเปิดสาขาแรกที่จะได้เห็นภายในปีนี้แน่นอน พร้อมกันนี้ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม และสนใจในธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งกำลังเจรจากับต่างชาติอยู่ ทั้งประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่สร้างโอกาสให้กับบริษัทได้อย่างดี แต่จะไม่เข้าไปในตลาดที่การแข่งขันสูง อย่างน้ำดื่ม และชาเขียวพร้อมดื่ม
ทั้ง นี้ ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 10-15% ต่อปี แม้ว่าการแข่งขันจะสูง จากการมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในตลาดทุกปี แต่เชื่อว่าจะใช้ความแข็งแกร่งของแบรนด์ มาม่า และความชำนาญของพันธมิตร จะสามารถทำให้แข่งขันกับคู่แข่งที่มีอยู่ได้ ในขณะที่ตลาดเครื่องดื่ม การเจรจาน่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ดี จะผลักดันให้ยอดขายของบริษัทภายใน 10 ปีข้างหน้าเพิ่มเท่าตัว หรือ 20,000 ล้านบาท