บทคัดย่อ
การประเมินและจัดการความเสี่ยงจากพิษตะกั่วและสารหนูในเด็กเล็กโดยอาศัยการ มีส่วนร่วมของชุมชนใกล้ขุมเหมืองดีบุกเก่า ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุแหล่งปนเปื้อนตะกั่วและสารหนู และประเมินความเสี่ยงจากพิษของตะกั่วและสารหนูในเด็กเล็กในชุมชนใกล้ขุมเหมืองเก่า ตำบลถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และดำเนินการจัดการความเสี่ยงจากพิษตะกั่วและสารหนูโดยอาศัยมีส่วนร่วมของชุมชน ดำเนินการศึกษาในช่วงเดือนมกราคม 2556-ธันวาคม 2557 ประชากรที่ศึกษา คือ ครัวเรือนที่มีเด็กเล็กช่วงอายุแรกเกิด-6 ปี จำนวน 157 ครัวเรือน คำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ เครจชี่และมอร์แกน (ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 %) ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยเก็บตัวอย่างได้ 119 ครัวเรือน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงสูง (อาศัยในระยะทางไม่เกิน 2 กิโลเมตรจากพื้นที่ขุมเหมืองดีบุกเก่า) จำนวน 92 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 77.3 ใช้แบบสอบถามเพื่อประเมินความรู้ของผู้ปกครองและประเมินการสัมผัสสิ่งแวดล้อมทางการรับประทานและการหายใจของเด็กเล็ก ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมที่เด็กสัมผัส ได้แก่ น้ำดื่ม ผัก นมแม่ ดินที่เด็กเล่น ฝุ่นที่พื้นในบ้านและในบรรยากาศ เก็บตัวอย่างจำนวน 232 ตัวอย่าง และเส้นผมของเด็ก จำนวน 49 ตัวอย่าง และเก็บตัวอย่างเลือดโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 67 ตัวอย่าง หลังจากนั้นนำตัวอย่างสิ่งแวดล้อม และเส้นผมมาย่อยด้วยกรดไนตริกเข้มข้น แล้ววิเคราะห์ด้วย ICP-OES ส่วนตัวอย่างเลือดวิเคราะห์ด้วย AAS โดยวิเคราะห์ 3 ซ้ำ นำผลมาประเมินความเสี่ยงดัชนีอันตรายของสารที่ไม่ไช่สารก่อมะเร็งจากตะกั่วและสารหนูทางการรับประทานและการหายใจ และประเมินความเสี่ยงต่อสารก่อมะเร็งจากสารหนูทางการรับประทานและการหายใจเช่นเดียวกัน โดยใช้สูตรของ EPA กระบวนการวิจัยมี 2 ขั้นตอนโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนมี 2 ขั้นตอนหลัก คือ 1) ขั้นการประเมินความเสี่ยง และ 2) ขั้นการจัดการความเสี่ยง ได้นำหลักการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา มาวิเคราะห์กลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินการ ซึ่งมาจาก 3 ส่วนคือ 1) ภาควิชาการ ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จากรพ.สต.ถ้ำทะลุ และตัวผู้วิจัย 2) ภาคสังคมหรือชุมชน ในที่นี้ ได้แก่ ตัวแทนอสม. และผู้ปกครองเด็กเล็ก และ 3) ผู้มีอำนาจภาครัฐ ได้แก่ นายกอบต.ถ้ำทะลุ ในการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนของการจัดการความเสี่ยงได้นำยุทธศาสตร์การส่งเสริมสุขภาพตามกฎบัตรออตตาวา มาเป็นแนวทางในการดำเนินการ
ผลการการศึกษาสรุปได้ดังนี้
ปริมาณตะกั่วในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ น้ำดื่ม ผัก นมแม่ ดินที่เด็กเล่น ฝุ่นที่พื้นในบ้าน
และตะกั่วในบรรยากาศ เก็บตัวอย่างจำนวน 232 ตัวอย่าง โดยเก็บจากพื้นที่เสี่ยงสูง จำนวน 186 ตัวอย่าง และพื้นที่เสี่ยงต่ำ จำนวน 46 ตัวอย่าง พบว่าตะกั่วในดินที่เด็กเล่นมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ในพื้นที่เสี่ยงสูง มีค่าเฉลี่ย 71.042 มก./กก. ซึ่งสูงกว่าระดับตะกั่วพื้นฐานในดินของประเทศไทย รองลงมาคือตะกั่วในบรรยากาศ ในพื้นที่เสี่ยงสูง มีค่าเฉลี่ย 24.069 มคก./ม.3 และสิ่งแวดล้อมที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือตะกั่วในน้ำดื่ม ในพื้นที่เสี่ยงต่ำ ซึ่งตรวจไม่พบ (ค่า LOD ตะกั่ว เท่ากับ 0.010 มก./ล.) ปริมาณสารหนูในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ น้ำดื่ม ผัก นมแม่ ดินที่เด็กเล่น ฝุ่นที่พื้นในบ้านและสารหนูในบรรยากาศ เก็บตัวอย่างจำนวน 232 ตัวอย่าง โดยเก็บจากพื้นที่เสี่ยงสูง จำนวน 186 ตัวอย่าง และพื้นที่เสี่ยงต่ำ จำนวน 46 ตัวอย่าง พบว่าสารหนูในดินที่เด็กเล่นมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ในพื้นที่เสี่ยงสูง มีค่าเฉลี่ย 27.972 มก./กก. ซึ่งต่ำกว่าระดับสารหนูพื้นฐานในดินของประเทศไทย รองลงมาคือสารหนูในฝุ่นที่พื้นในบ้าน ในพื้นที่เสี่ยงสูง มีค่าเฉลี่ย 0.326 มคก./ฟุต2 และสิ่งแวดล้อมที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือสารหนูในบรรยากาศ ในพื้นที่เสี่ยงต่ำ ซึ่งตรวจไม่พบ (ค่า LOD ตะกั่ว เท่ากับ 0.020 มก./ล.)
การประเมินความเสี่ยง ดัชนีอันตรายจากสารที่ไม่ใช่สารก่อมะเร็งจากตะกั่วและ สารหนูทางการรับประทานและการหายใจ ในพื้นที่เสี่ยงสูง ซึ่งเกิน 1 แสดงว่ามีความเสี่ยง ส่วนในพื้นที่เสี่ยงต่ำไม่มีความเสี่ยง สำหรับความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งจากสารหนู ในพื้นที่เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งจากสารหนูผ่านการรับประทาน ส่วนการหายใจไม่มีความเสี่ยง
ปริมาณตะกั่วในเลือด ตะกั่วและสารหนูในเส้นผม พบว่ามีเด็กเล็กจำนวน 8 ราย ที่มีค่าสูงเกินค่ามาตรฐาน จำแนกเป็นปริมาณตะกั่วในเลือด 6 ราย ตะกั่วในเส้นผม 1 ราย และสารหนูในเส้นผมจำนวน 1 รายตามลำดับ
การมีส่วนร่วมในการดำเนินการประเมินและจัดการความเสี่ยง แบ่งตามขั้นตอนหลัก คือ 1) ขั้นการประเมินความเสี่ยง เริ่มต้นด้วย การเตรียมการวิจัยโดย ลงพื้นที่เพื่อศึกษาข้อมูล แนะนำตนเอง และชี้แจงการดำเนินการวิจัยซึ่งผู้นำชุมชน เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการตำบล ประชุมชี้แจงการดำเนินการวิจัยและเชิญเข้าร่วมเป็นทีมวิจัย ได้ทีมวิจัยและประชุมทีมวิจัย จำนวน 11 คน หลังจากนั้น เริ่มประเมินความเสี่ยง โดยทีมวิจัยร่วมเก็บข้อมูลจากผู้ปกครองและเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมที่เด็กสัมผัสเพื่อตรวจปริมาณตะกั่วและสารหนู พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างเส้นผม และเก็บตัวอย่างเลือด จัดทำแผนที่ และประชุมชี้แจงผลการประเมินความเสี่ยงต่อทีมวิจัย เพื่อปรับรูปแบบการนำเสนอให้เหมาะสม 2) ขั้นการจัดการความเสี่ยง เริ่มต้นด้วย การสื่อสารความเสี่ยงในเวทีประชาคม มีผู้ปกครองเด็ก คิดเป็นร้อยละ 91.60 อภิปรายร่วมกับเวทีประชาคม และมีผู้สนใจร่วมเป็นทีมวิจัยเพิ่ม รวมเป็นจำนวน 24 คน หลังจากนั้นจัดทำแผนการจัดการความเสี่ยงโดยทีมวิจัย ได้แผนการจัดการความเสี่ยง โดยกิจกรรมตามแผน แบ่งเป็นการจัดการที่แหล่งกำเนิด จัดการที่ทางผ่าน และจัดการที่ตัวเด็ก แล้วดำเนินการจัดการตามแผนโดย (1) จัดการที่แหล่งกำเนิด ได้แก่ การจัดการน้ำดื่ม มีกิจกรรมรณรงค์ล้างถังเก็บน้ำฝน และกิจกรรมจัดหาน้ำดื่มที่ปลอดภัย ซึ่งดำเนินการได้ คิดเป