ค้างคาวที่สำรวจพบทั้งหมดในโลกมีประมาณ 1,100 ชนิด โดยในประเทศไทยมีผู้ค้นพบค้างคาว
ประมาณ 120 ชนิด (11% ของค้างคาวทั้งหมด) แบ่งเป็นค้างคาวกินผลไม้ 20 ชนิดค้างคาวกินแมลง 99 ชนิด และเป็นค้างคาวที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร 1 ชนิดค้างคาวในประเทศไทยมีความหลากหลายมาก คือมีตั้งแต่ขนาดที่เล็กที่สุดในโลก (ค้างคาวกิตติน้ำหนักตัว 2g.) ไปจนถึงค้างคาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน น้ำหนักตัว 1kg.)ในปัจจุบัน ค้างคาวหลายชนิดได้สูญพันธุ์หรือไม่มีผู้พบเห็นมานานมากแล้ว บางส่วนถูกคุกคามแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร บางส่วนถูกจับมาเป็นอาหาร และบางส่วนถูกกำจัดเพราะกลัวว่าจะสร้าง ความเดือดร้อนให้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค้างคาวมีบทบาทสำคัญอย่างมากในธรรมชาติ โดยเฉพาะช่วยผสมเกสรดอกไม้ และช่วยกำจัดแมลงและศัตรูพืชเราสามารถพบค้างคาวได้ทุกภาคของประเทศไทย โดยทั่วไปค้างคาวจะอยู่รวมกันเป็น กลุ่ม มักอาศัยอยู่ในถ้ำ ตามซอกหิน โพรงไม้ ห้องใต้หลังคา หรือแม้แต่เกาะตามต้นไม้ ต่างๆในประเทศไทยยังไม่มีการค้นพบค้างคาวที่ดูดเลือดเป็นอาหาร แต่มีค้างคาวที่ชนิดใกล้ เคียงกัน (ค้างคาวแวมไพร์แปลง) ซึ่งกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร ศัตรูที่สำคัญของค้างคาว ได้แก่มนุษย์ นก งู แมว ผู้ล่าจำพวกนกและงู มักจะไปซุ่มดัก อยู่ตรงหน้าถ้ำค้างคาว เมื่อค้างคาวบินออกมาเป็นฝูงใหญ่ ก็จะเป็นโอกาสทองของผู้ล่าเหล่านี้ ส่วนค้างคาวที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของมนุษย์ มักจะถูกล่าโดยแมว การลุกล้ำป่า การจับค้างคาวมารับประทาน การเข้าไปรบกวนถ้ำและแหล่งที่อยู่อาศัยสิ่งเหล่านี้ทำให้จำนวนค้างคาวลดลงอย่างมาก สรุปแล้วศัตรูที่สำคัญที่สุดของค้างคาวก็คือมนุษย์นั่นเอง