Eating about one serving a day of b

Eating about one serving a day of beans, peas, chickpeas or lentils can increase fullness, which may lead to better weight management and weight loss, a new study has found.
A systematic review and meta-analysis of all available clinical trials found that people felt 31 per cent fuller after eating on average 160 grams of dietary pulses compared with a control diet, according to senior author Dr. John Sievenpiper of St. Michael's Hospital's Clinical Nutrition and Risk Factor Modification Centre.
His group's findings were published in the August issue of the journal Obesity.
Dr. Sievenpiper said that despite their known health benefits, only 13 per cent of Canadians eat pulses on any given day and most do not eat a full serving, which is 130 grams or ¾ cup. Pulses have a low glycemic index (meaning that they are foods that break down slowly) and can be used to reduce or displace animal protein as well as "bad" fats such as trans fat in a dish or meal.
Dr. Sievenpiper noted that 90 per cent of weight loss interventions fail, resulting in weight regain, which may be due in part to hunger and food cravings. Knowing which foods make people feel fuller longer may help them lose weight and keep it off. He said the finding that pulses make people feel fuller was true across various age categories and Body Mass Indexes.
Although the analysis found pulses had little impact on "second meal food intake," the amount of food someone eats at his or her next meal, these findings support longer term clinical trials that have shown a weight loss benefit of dietary pulses. Dr. Sievenpiper said another bonus from eating pulses is that they are Canadian crops. "That means eating local, being more sustainable and receiving many health benefits," he said.
Dr. Sievenpiper's systematic review and meta-analysis included nine clinical trials involving 126 participants out of more than 2,000 papers screened. This trial was funded by Pulse Canada and the Canadian Institutes for Health Research. Another recently published systematic review and meta-analysis by Dr. Sievenpiper's research group found that eating on average one serving a day of beans, peas, chickpeas or lentils can also reduce "bad cholesterol" by five per cent and therefore lower the risk of cardiovascular disease.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กินถั่ว ถั่วลันเตา chickpeas หรือ lentils บริการเดียวสามารถเพิ่มความสำเร็จ ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักดีและน้ำหนัก การศึกษาใหม่พบกัน
ทบทวนระบบและ meta-analysis ของคลินิกทั้งหมดพบคนที่รู้สึกร้อย 31 ฟูลเลอร์หลังจากรับประทานเฉลี่ย 160 กรัมของกากกะพริบเมื่อเทียบกับการควบคุมอาหารตามอาวุโสเขียน Dr Sievenpiper จอห์นเซนต์ไมเคิลโรงพยาบาลคลินิกโภชนาการและศูนย์ปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยง
พบกลุ่มของเขาเผยแพร่ในเดือนสิงหาคมออกรายโรคอ้วน
ดร. Sievenpiper กล่าวว่า แม้ มีประโยชน์เพื่อสุขภาพชื่อดัง เฉพาะ 13 ร้อยละของชาวแคนาดากินกะพริบในวันที่กำหนดใด ๆ และส่วนใหญ่กินแบบเต็มที่ให้บริการ ซึ่งเป็น 130 กรัมหรือ¾ถ้วยตวง กะพริบมีดัชนี glycemic ต่ำ (ความหมายที่พวกเขาอาหารที่ทำลายลงช้า) และสามารถใช้เพื่อลด หรือเลื่อนโปรตีนสัตว์รวมทั้งไขมันที่ "ดี" เช่นไขมันทรานส์ในอาหารหรืออาหาร
ดร. Sievenpiper กล่าวว่า ร้อยละ 90 ของการแทรกแซงการสูญเสียน้ำหนักล้มเหลว ในน้ำหนัก อีก ซึ่งอาจจะหิวและอาหารแพงครบในส่วนนั้น รู้ว่าอาหารที่ทำให้คนรู้สึกว่าฟูลเลอร์ยาวอาจช่วยให้ลดน้ำหนัก และให้ปิด เขากล่าวหาว่า กะพริบทำให้คนรู้สึกว่าฟูลเลอร์ถูกจริงต่าง ๆ ประเภทอายุและดัชนีมวลกาย
ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์พบกะพริบมีผลกระทบเล็กน้อย "สองมื้อรับประทานอาหาร" ยอดอาหารคนกิน คนต่อมื้อ ผลการวิจัยนี้สนับสนุนยาวระยะทดลองทางคลินิกที่ได้แสดงประโยชน์สูญเสียน้ำหนักของกากกะพริบ ดร. Sievenpiper กล่าวว่า โบนัสอื่นจากกินกะพริบเป็นว่า พวกเขาเป็นพืชที่แคนาดา "นั่นหมายความว่า รับประทานอาหารท้องถิ่น ยั่งยืนมากขึ้น และได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เขากล่าวว่า
Dr Meta-วิเคราะห์และตรวจสอบระบบของ Sievenpiper รวม 9 คลินิกเกี่ยวข้องกับผู้เรียน 126 จากกระดาษมากกว่า 2000 ที่ฉาย ทดลองที่ได้รับการสนับสนุน โดยชีพจรแคนาดาและสถาบันแคนาดาที่วิจัยสุขภาพ อีกเพิ่งตรวจทานระบบเผยแพร่และเมตาวิเคราะห์ตามกลุ่มวิจัยของดร. Sievenpiper พบว่ากินบนเฉลี่ยบริการของถั่ว ถั่ว chickpeas หรือ lentils สามารถยัง ลด "ไขมันเลว" โดยร้อยละ 5 และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดดังนั้น การ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การรับประทานอาหารที่ให้บริการประมาณหนึ่งวันของถั่ว, ถั่ว, ถั่วชิกพีหรือถั่วสามารถเพิ่มความสมบูรณ์ซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมน้ำหนักที่ดีขึ้นและการสูญเสียน้ำหนักการศึกษาใหม่พบว่ามี
ระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยทางคลินิกทั้งหมดที่มีอยู่พบว่าคน รู้สึกฟูลเลอร์ 31 ต่อร้อยละหลังจากการรับประทานอาหารโดยเฉลี่ย 160 กรัมของชีพจรอาหารเมื่อเทียบกับการควบคุมอาหารตามที่ผู้เขียนอาวุโสจอห์น Sievenpiper ของเซนต์ไมเคิลโรงพยาบาลคลินิกโภชนาการและปัจจัยความเสี่ยงการปรับเปลี่ยนศูนย์
การค้นพบกลุ่มของเขาถูกตีพิมพ์ในฉบับเดือนสิงหาคม ของวารสารโรคอ้วน
ดร Sievenpiper กล่าวว่าแม้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของพวกเขาเป็นที่รู้จักกันเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดากินถั่วในวันหนึ่งวันใด ๆ และส่วนใหญ่ไม่กินอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบซึ่งเป็น 130 กรัมหรือ¾ถ้วย ชีพจรมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (หมายถึงว่าพวกเขาเป็นอาหารที่ทำลายลงอย่างช้าๆ) และสามารถนำมาใช้ในการลดหรือกำจัดโปรตีนจากสัตว์รวมทั้งไขมัน "เลวร้าย" เช่นไขมันทรานส์ในจานหรืออาหาร
ดร Sievenpiper ตั้งข้อสังเกตว่าร้อยละ 90 ของการแทรกแซงการสูญเสียน้ำหนักล้มเหลวส่งผลให้น้ำหนักฟื้นซึ่งอาจจะเป็นเพราะในส่วนของความหิวและความอยากอาหาร รู้ว่าอาหารที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มนานขึ้นอาจช่วยให้พวกเขาลดน้ำหนักและทำให้มันออก เขากล่าวว่าการค้นพบว่าชีพจรทำให้คนรู้สึกฟูลเลอร์เป็นความจริงในประเภทอายุต่างๆและดัชนีมวลกาย
แม้ว่าการวิเคราะห์พบชีพจรมีผลกระทบต่อ "การรับประทานอาหารมื้อที่สอง" ปริมาณอาหารที่คนกินที่อาหารมื้อต่อไปของเขาหรือเธอ การค้นพบนี้สนับสนุนการทดลองทางคลินิกในระยะยาวที่ได้แสดงให้เห็นผลประโยชน์การสูญเสียน้ำหนักของชีพจรอาหาร ดร Sievenpiper กล่าวว่าโบนัสจากการกินถั่วก็คือว่าพวกเขาเป็นพืชแคนาดา "นั่นหมายถึงการรับประทานอาหารในท้องถิ่นเป็นอย่างยั่งยืนมากขึ้นและได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพมาก" เขากล่าวว่า
ดร ระบบตรวจสอบ Sievenpiper และวิเคราะห์รวมถึงเก้าทดลองทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับ 126 ผู้เข้าร่วมจากกว่า 2,000 เอกสารการคัดเลือก การทดลองนี้ได้รับการสนับสนุนโดยพัลส์ที่ประเทศแคนาดาและสถาบันแคนาดาเพื่อการวิจัยสุขภาพ อีกระบบตรวจสอบการตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้และวิเคราะห์โดยกลุ่มวิจัยดร Sievenpiper พบว่าการรับประทานอาหารในหนึ่งวันให้บริการเฉลี่ยของถั่ว, ถั่ว, ถั่วชิกพีหรือถั่วยังสามารถลด "คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี" โดยห้าร้อยละและดังนั้นจึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรค

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กินเกี่ยวกับการให้บริการหนึ่งวัน ถั่ว ถั่ว ถั่ว Chickpeas หรือสามารถเพิ่มไพบูลย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ดีกว่าการจัดการน้ำหนักและการสูญเสียน้ำหนัก , การศึกษาใหม่พบว่ามี .
การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์การทดลองทางคลินิกที่มีอยู่ทั้งหมด พบว่า ประชาชนรู้สึก 31 เปอร์เซ็นต์ ฟูลเลอร์ หลังจากกินเฉลี่ย 160 กรัม ใยอาหาร กะพริบ เทียบ ด้วยการควบคุมอาหารตามอาวุโส ผู้เขียน ดร.จอห์น sievenpiper ของเซนต์ไมเคิลโรงพยาบาลคลินิกโภชนาการและศูนย์การปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยง .
กลุ่มของเขา ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในฉบับสิงหาคมของวารสารโรคอ้วน .
ดร. sievenpiper กล่าวว่าแม้จะรู้สุขภาพเพียงร้อยละ 13 ของแคนาดากินถั่วในวันหนึ่งวันใด และส่วนใหญ่ไม่กินให้อิ่ม ซึ่งเป็น¾ 130 กรัม หรือถ้วยโดยมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ( หมายถึงว่ามันเป็นอาหารที่ทำลายลงช้าๆ ) และสามารถใช้เพื่อลดหรือแทนที่โปรตีนจากสัตว์ รวมทั้ง " ไขมันดี " เช่นไขมันทรานส์ในอาหารหรืออาหาร .
ดร. sievenpiper กล่าวว่า ร้อยละ 90 ของการแทรกแซงการลดน้ำหนักล้มเหลว ทำให้น้ำหนักกลับมา ซึ่ง อาจจะเนื่องจากในส่วนของความหิวและความอยากอาหารทราบว่าอาหารที่ทำให้คนรู้สึกฟูลเลอร์อีกต่อไปอาจช่วยลดน้ำหนักและทำให้มันออก เขากล่าวว่าผลการวิจัยที่ชีพจรทำให้คนรู้สึกสัมผัสได้จริงในประเภทอายุต่าง ๆ และดัชนีมวลร่างกาย .
ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์พบพัลส์ที่มีผลกระทบน้อยใน " การบริโภคอาหารมื้อที่สอง " ปริมาณของอาหารที่คนที่กินมื้อถัดไปของเขา หรือเธอการค้นพบนี้สนับสนุนระยะยาวการทดลองทางคลินิกที่แสดงการสูญเสียน้ำหนักประโยชน์ของการบริโภคถั่ว . ดร. sievenpiper บอกว่าโบนัสจากการรับประทานถั่วที่พวกเขาเป็น " พืชที่แคนาดา นั่นหมายถึงการรับประทานอาหารท้องถิ่น , ที่ยั่งยืนมากขึ้นและได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย " เขากล่าว
ดร.sievenpiper คือการทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์การทดลองทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับ 126 รวมเก้า ผู้เข้าร่วมจากกว่า 2000 เอกสารมุ้งลวด การทดลองนี้ได้รับการสนับสนุนโดยแคนาดา ชีพจร และสถาบันแคนาดาเพื่อการวิจัยสุขภาพ อื่นที่เผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์โดย กลุ่มงานวิจัยของ ดร. sievenpiper พบว่าการกินโดยเฉลี่ยหนึ่งให้บริการวันของถั่ว ถั่วลันเตาchickpeas หรือถั่วสามารถลด " คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี " โดยร้อยละห้า และดังนั้นจึง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด