ดีปลีชื่อวิทยาศาสตร์ / ชื่อวงศ์ : Etlingera elatior (Jack) R.M.Sm ( ZINGIBERACEAE)ลักษณะวิสัย : ไม้เลื้อยสมุนไพรลักษณะพิเศษของพืช : พืชสมุนไพรบริเวณที่พบ : ตะวันออก อาคารสิทธิธรลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถา ไม่มีขนตามลำต้น เมื่อแห้งเป็นลายละเอียด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับกัน รูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเบี้ยว เนื้อค่อนข้างมาก มันคล้ายหนัง เส้นใบออกจากโคนใบ 3 – 5 เส้น ตอนบนเส้นใบออกแบบขนนก ดอกออกตรงข้ามใบ เป็นดอกช่อชนิดดอกย่อยไม่มีก้าน ช่อดอกเพศผู้ และเพศเมียอยู่คนละต้น ผลอัดกันแน่นเป็นช่อส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ฝักสรรพคุณ : ขับลมข้อมูลการปลูกแหล่งกำเนิด :ดีปลีมีถิ่นกำเนิดมาจากเกาะ Moluccas แต่นำมาปลูกในอินโดนีเซียและประเทศไทยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม :ดีปลีเป็นพืชในเขตร้อนชื้น แต่สามารถทนแล้งได้ดี โดยทั่วไปพบในเขตป่าดงดิบเขาชื้น สภาพดินร่วนอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี สภาพน้ำฝนควรจะมีสม่ำเสมอ แต่ต้องไม่มีน้ำขัง ในประเทศไทยมีการเพาะปลูกดีปลีกันมาในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรีลักษณะประจำพันธุ์ :ดีปลีพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นพันธุ์พื้นเมืองลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อย รากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อยึดเกาะกับค้าง ใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ออกสลับตามข้อ ใบมนรี ปลายใบเรียวแหลม โคนใบ มักกลมมน เนื้อโคนใบสองข้างไม่เท่ากัน ดอกเป็นช่ออัดแน่น ดอกย่อยไม่มีก้านช่อดอก ผลค่อนข้างกลมฝังตัวแน่น อยู่กับแกนช่อรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 3-7 ซม. เมื่ออ่อนเป็นสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อแก่วิธีการขยายพันธุ์ :ดีปลีสามารถขยายพันธุ์ทั้งจากเมล็ด และขยายจากเถาได้ โดยทั่วไปนิยมขยายจากเถาโดยการนำเถาของดีปลีมาตัดเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 5 ข้อ ชำในกระบะทรายจนกระทั่งเถาดีปลีแตกรากและยอดใหม่แล้ว จึงนำไปปลูกอัตราการใช้พันธุ์ต่อไร่ :อัตราการใช้ท่อนพันธุ์ของดีปลี ประมาณ 2,00-5,000 ท่อน/ไร่การเตรียมดิน :การเตรียมดินมีการไถเพื่อความร่วนซุยของหน้าดิน จากนั้นโรยปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินให้เหมาะสม โดยใช้ปูนขาว 100 กก.ต่อไร่ ตากหน้าดินให้แห้งประมาณ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นไถแปรอีกครั้ง ทำการวัดระยะปลูกเพื่อวางแผนการขุดหลุมฝักเสาค้าง ทำเครื่องหมายไว้ตามจุดต่าง ๆการเตรียมเสาค้าง :การเตรียมเสาค้าง เกษตรกรที่ปลูกมาเป็นเวลานาน มักใช้เสาค้างไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15 ซม. เป็นไม้เนื้อแข็งอายุการใช้งาน 10-20 ปี ซึ่งอดีตสามารถหาได้ง่ายและมีราคาถูกรวมทั้งต้น ดีปลีสามารถยึดเกาะได้เป็นอย่างดีทำให้เสาไม้นิยมใช้กันมาก แต่ในปัจจุบันเสาไม้หาได้ยากและมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรหันมาใช้เสาคอนกรีตสำหรับทำค้าง โดยใช้เสาคอนกรีตสี่เหลี่ยมขนาด 15x15 ซม. สูง 2.5 เมตร ซึ่งเสาคอนกรีตสามารถหาได้ง่าย และเกษตรกรบางรายสามารถหล่อขึ้นใช้เองได้ ทำให้ประหยัดต้นทุนลงได้บ้าง การใช้เสาคอนกรีตมีข้อเสียอยู่บ้างคือ เมื่อได้รับแสงแดดและอุณหภูมิสูงเสาจะเก็บความร้อน ทำให้รากของดีปลีที่ใช้ยึดเกาะกับเสาค้างคอนกรีตไม่สามารถยึดเกาะได้ดีนัก เกษตรกรแก้ปัญหาโดยใช้เชือกผูกต้นดีปลีให้ติดกับเสาค้างตลอดเวลาเพื่อให้รากเกาะและให้ความเห็นว่าเมื่อดีปลีเจริญเติบโตจนสามารถให้ผลผลิตได้แล้ว ผลผลิตได้น้อยกว่าการใช้เสาค้างไม้การปลูก :นำเถาดีปลีที่ปักชำจนรากงอกแล้วลงปลูกข้าง ๆ เสา โดยฝังลงดินประมาณ 3 ข้อ เสาค้าง 1 ต้น ควรปลูกดีปลีประมาณ 3-5 ต้น แล้วใช้เชือกหรือลวดยึดต้นกับเสาอย่างหลวม ๆ ให้ต้นทอดไปตามยอดเสา ในระยะ 2 สัปดาห์แรกควรมีการพรางแสง อาจจะใช้ทางมะพร้าวก็ได้ เมื่อดีปลีเจริญเติบโตจนจับค้างได้ก็ไม่จำเป็นต้องพรางแสง เมื่อปลูกเสร็จแล้วควรมีการพูนโคน และทำร่องน้ำให้มีความลาดเทเล็กน้อย เพื่อให้น้ำไหลผ่านได้สะดวก การดูแลรักษา :ดีปลีเป็นพืชที่ต้องการการดูแลรักษามากพอสมควร การให้น้ำ ดีปลีเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่ควรให้น้ำจนแฉะเกินไป เพราะจะทำให้ต้นดีปลีเน่าตายได้ และยังทำให้เกิดโรคเน่าได้ง่ายอีกด้วย การให้ปุ๋ย เนื่องจากดีปลีเป็นพืชที่มีอายุหลายปี จึงควรมีการให้ปุ๋ยบำรุงดิน โดยควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ในอัตรา 1 กก.ตันต่อปี เป็นอย่างน้อยการเก็บเกี่ยว :ดีปลีจะให้ผลผลิตได้เมื่ออายุ 2 ปี การเก็บเกี่ยวจะเก็บส่วนของดอก ซึ่งจะมีผลอยู่ภายใน ซึ่งจะเก็บในขณะที่ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก คือ ยังมีสีเขียวอยู่ ซึ่งเป็นระยะที่ดีปลีมีกลิ่นฉุนมากที่สุด วิธีเก็บจะใช้มือเด็ดที่ก้านขั้วผล สำหรับค้างที่สูงจะใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บ ใน 1 กิ่ง สามารถเก็บผลดีปลีได้ 2-3 ผล ต่อครั้ง การเก็บเกี่ยว แต่ละครั้งใช้เวลาห่างกัน 1-2 เดือนการตากแห้ง :เมื่อเก็บเกี่ยวดีปลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการตากทันทีถ้าเก็บไว้ในภาชนะบรรจุอาจทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ การตากเกษตรกรจะตากบนผ้าพลาสติกหรือพื้นปูนเกลี่ยให้กระจายจนทั่ววัสดุรองพื้นลานตาก ประมาณ 5 วัน สังเกตดูว่าผลดีปลีแห้งสนิท สามารถหักรอบได้ มีสีน้ำตาลแดง อัตราการตากแห้ง 4 ต่อ 1 กก.การเก็บรักษา :เมื่อตากจนแห้งดีแล้วนำมาบรรจุใส่กระสอบป่าน ไม่ควรใช้ถุงปุ๋ยบรรจุเพราะถุงปุ๋ยมีรูระบายอากาศน้อยทำให้เกิดเหงื่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเชื้อราทำให้ผลผลิตเสียหายได้ และอาจมีสารเคมีตกค้าง ทำให้ปนเปื้อน