The final major facelift for the GT

The final major facelift for the GT6 came in 1970 in the form of the Mk III. This time the entire bodyshell was revised to match the changes made to the Spitfire Mk IV: modifications included a cut-off rear end, recessed door handles and a smoother front end. Only detail changes were made to the mechanics, but in 1973 – close to the end of the car's production life – the rear suspension was changed again, this time for the cheaper (but still effective) "swing-spring" layout fitted to the Spitfire Mk IV. This was a modification of the swing axle rear suspension used on the Herald-derived models, with the transverse leaf spring mounted on a pivot, eliminating roll stiffness at the rear, and thus greatly reducing the jacking effect under cornering loads. To compensate for this loss of roll stiffness, a larger front anti-roll bar was fitted. A brake servo was also added in 1973, and seats were changed from vinyl to cloth. There was still a fairly comprehensive options list, but the knock-on wire wheels were no longer available. The unladen weight increased slightly to 2,030 lb (920 kg).[1]

Engine power and torque for the Mk III was similar to the Mk II, but better aerodynamics led to a new top speed of 112 mph (180 km/h) and a 0–60 mph time of 10.1 seconds.[1] Performance was now comfortably ahead of the MGB GT, which reached about 105 mph (169 km/h) and 60 mph in approximately 13 seconds. Fuel economy was also improved to 28 mpg-imp (10 L/100 km; 23 mpg-US).[1] The last USA models relatively performed poorly owing to the compression ratios being reduced to allow the use of lower octane unleaded gasoline.

The Mk III never sold in the numbers hoped for by Triumph, and was comprehensively beaten in the marketplace by the MGB. Triumph refused to release an official convertible version of the GT6 and, after poor sales, it was dropped from the Triumph range at the end of 1973, although a few cars were sold the following year.[1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ดึงหลักสุดท้ายสำหรับ GT6 มาในปี 1970 ในรูปแบบของเอ็มเค III เวลานี้ bodyshell ทั้งแก้ไขปรับปรุงให้ตรงกับการเปลี่ยนแปลงทำการต้องเปิด Mk IV: รวมการแก้ไขการตัดท้าย มือจับประตูโคม และ front end เรียบ เพียงแต่รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงกลศาสตร์ แต่ในปี 1973 – ใกล้สิ้นชีวิตของรถผลิต – สะเทือนหลังถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เวลานี้ถูกกว่า (แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ) ในรูปแบบ "สวิงน้ำพุพอดีกับต้องเปิดเอ็มเค IV การเปลี่ยนแปลงของการแกว่งเพลาหลังระงับใช้รุ่นมาเฮรัลด์ แหนบขวางยึดเดือย ขจัดความแข็งม้วนด้านหลัง และลดผล jacking ภายใต้โหลดเข้าโค้งจึง ได้ เพื่อชดเชยการสูญเสียนี้ตึงม้วน บาร์ anti-roll ด้านหน้าขนาดใหญ่ถูกติดตั้ง เซอร์โวเบรคถูกเพิ่มในปี 1973 และที่นั่งถูกเปลี่ยนจากไวนิลผ้า มันยังมีตัวเลือกค่อนข้างครอบคลุมรายการ แต่ไม่มีล้อลวดมั่งคั่ง น้ำหนัก unladen เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2030 ปอนด์ (920 กิโลกรัม) [1]กำลังเครื่องยนต์และแรงบิดสำหรับเอ็มเค III ได้คล้ายกับ Mk II แต่ดีกว่ากระบะ 0 – 60 mph เวลา 10.1 วินาทีและความเร็วสูงสุดใหม่ 112 mph (180 กม./ชม.) [1] เวลานี้สบายก่อน MGB GT ซึ่งเข้าถึงประมาณ 105 mph (169 กม./ชม.) ประสิทธิภาพ และ 60 mph ในเวลาประมาณ 13 วินาที ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงยังถูกปรับปรุงไป 28 mpg-imp (กม./ ลิตร 10 สหรัฐอเมริกา 23 mpg) [1]ล่าสุดสหรัฐอเมริการุ่นค่อนข้างดำเนินการได้ไม่ดีเนื่องจากอัตราส่วนการอัดที่ถูกลดการอนุญาตให้ใช้นสูงต่ำชนิดน้ำมันเบนซินเอ็มเค III ไม่เคยขายตัวเลขหวัง โดย Triumph และครบถ้วนถูกตีตลาด โดย MGB ไทรอัมพ์ปฏิเสธที่จะปล่อยรุ่นเปิดประทุนอย่างเป็นทางการของ GT6 และ หลังการขายไม่ดี ก็ตกจากช่วง Triumph ที่ 1973 แม้ว่าบางคันถูกขายในปีต่อไป [1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ดึงที่สำคัญสุดท้ายสำหรับ GT6 มาในปี 1970 ในรูปแบบของ Mk ที่สาม เวลานี้ bodyshell ทั้งหมดถูกปรับปรุงเพื่อให้ตรงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับต้องเปิด Mk IV: การปรับเปลี่ยนรวมถึงการตัดปลายด้านหลังปิดภาคเรียนที่จับประตูและส่วนหน้าเรียบเนียน เฉพาะการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้ทำเพื่อกลศาสตร์ แต่ในปี 1973 - ปิดท้ายของชีวิตการผลิตรถยนต์ที่ - การระงับหลังก็เปลี่ยนไปอีกครั้งคราวนี้สำหรับราคาถูก ( แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ) "แกว่งฤดูใบไม้ผลิ" รูปแบบการติดตั้งต้องเปิด Mk IV นี่คือการเปลี่ยนแปลงของระบบกันสะเทือนหลังแกว่งเพลาที่ใช้ในรุ่นเฮรัลด์ที่ได้มากับฤดูใบไม้ผลิใบขวางติดตั้งอยู่บนเดือย, การขจัดความฝืดม้วนที่ด้านหลังและจึงช่วยลดผลกระทบดันลอดใต้โหลดเข้าโค้ง เพื่อชดเชยการสูญเสียของความแข็งม้วนนี้, บาร์ต่อต้านม้วนด้านหน้าขนาดใหญ่ก็พอดี เซอร์โวเบรกยังถูกเพิ่มเข้ามาในปี 1973 และที่นั่งมีการเปลี่ยนแปลงจากไวนิลผ้า ยังคงมีค่อนข้างครอบคลุมรายการตัว แต่ล้อเคาะบนลวดก็ไม่สามารถใช้ได้อีก น้ำหนักเพียบเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2,030 ปอนด์ (920 กิโลกรัม). [1]

กำลังเครื่องยนต์และแรงบิดสำหรับ Mk III ก็คล้ายคลึงกับ MK II แต่อากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้นนำไปสู่ความเร็วสูงสุดใหม่ที่ 112 ไมล์ต่อชั่วโมง (180 กิโลเมตร / เอช) และ เป็นเวลา 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง 10.1 วินาที. [1] ผลการดำเนินงานในขณะนี้คือความสะดวกสบายไปข้างหน้าของ MGB GT ซึ่งถึงประมาณ 105 ไมล์ต่อชั่วโมง (169 กิโลเมตร / เอช) และ 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาประมาณ 13 วินาที ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงนอกจากนี้ยังได้รับการปรับปรุงถึง 28 MPG ภูตผีปีศาจ (10 ลิตร / 100 กิโลเมตร; 23 MPG-US). [1] สุดท้ายรุ่นสหรัฐอเมริกาค่อนข้างดำเนินการได้ไม่ดีเนื่องจากอัตราส่วนการบีบอัดที่ถูกลดลงไปอนุญาตให้ใช้ออกเทนต่ำกว่าน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วได้.

mk ที่สามไม่เคยขายในตัวเลขคาดหวังว่าจะโดยประสบความสำเร็จและได้รับการตีกว้างในตลาดโดย MGB ไทรอัมพ์ปฏิเสธที่จะปล่อยรุ่นเปิดประทุนอย่างเป็นทางการของ GT6 และหลังการขายไม่ดีมันก็ลดลงจากช่วงที่ประสบความสำเร็จในตอนท้ายของปี 1973 แม้จะไม่กี่คันถูกขายในปีต่อไป. [1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สุดท้ายสำคัญสุดสำหรับ GT6 กลับมาในปี 1970 ในรูปแบบของ MK III ในครั้งนี้ bodyshell ทั้งหมดถูกแก้ไขเพื่อให้ตรงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ Spitfire MK IV : การรวมตัดด้านหลังโคม มือจับประตู และปลายด้านหน้าเรียบ การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเท่านั้นเพื่อให้มีกลไก แต่ในปี 1973 –ใกล้จุดสิ้นสุดของชีวิตการผลิตของรถและช่วงล่างด้านหลังถูกเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้ให้ถูกกว่า ( แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ ) " สวิงฤดูใบไม้ผลิ " ผังติดตั้ง Spitfire MK IV นี้คือการเปลี่ยนแปลงของเพลาหลังระงับใช้สวิง ประกาศที่ได้นางแบบ กับฤดูใบไม้ผลิใบขวางติดเดือย , ขจัดความฝืด Roll ที่ด้านหลัง และดังนั้นจึง ช่วยลดผลกระทบภายใต้โค้งดันโหลด เพื่อชดเชยนี้สูญเสียความแข็งม้วน , บาร์ป้องกันม้วนด้านหน้ามีขนาดใหญ่กำลังพอดี เบรคเซอร์โวก็เพิ่มใน 1973 และที่นั่งถูกเปลี่ยนจากหนังกับผ้า ยังคงมีรายการตัวเลือกที่ค่อนข้างครอบคลุม แต่เคาะบนลวดล้อก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว น้ำหนัก unladen เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2030 ปอนด์ ( 920 กิโลกรัม [ 1 ] )เครื่องยนต์และแรงบิดสำหรับ MK III คล้ายกับ MK II แต่กว่าอากาศพลศาสตร์ทำให้ความเร็วด้านบนใหม่ 112 ไมล์ ( 180 km / h ) และ 0 – 60 mph เวลา 10.1 วินาที ประสิทธิภาพ [ 1 ] คือตอนนี้สบายข้างหน้าของ mgb GT ซึ่งถึงประมาณ 105 ไมล์ต่อชั่วโมง ( 169 km / h ) และ 60 mph ในเวลาประมาณ 13 วินาที เศรษฐกิจเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 28 mpg IMP ( 10 l / 100 km 23 mpg เรา ) [ 1 ] สุดท้าย อเมริกา รุ่นค่อนข้างปฏิบัติได้ไม่ดีเนื่องจากอัตราส่วนการบีบอัดจะลดลงให้ใช้ออกเทนต่ำกว่าน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว .MK III ไม่มีขายในตัวเลขหวังสำหรับชัยชนะ และกว้างตีในตลาดโดย mgb . ชัยชนะปฏิเสธที่จะปล่อยอย่างเป็นทางการแปลงรุ่นของ GT6 และหลังจากขายไม่ดี มันหลุดจากช่วงชัยชนะที่ส่วนท้ายของปี 1973 แม้ว่าไม่กี่คันถูกขายต่อปี [ 1 ]