Due to the range of human uses made

Due to the range of human uses made of the water catchment area adjacent to the Great Barrier Reef, some 700 of the 3000 reefs are within a risk zone where water quality has declined owing to the naturally acidic sediment and chemical runoff from farming, and to coastal development and the loss of coastal wetlands which are a natural filter.Industries in the water catchment area are cotton growing, comprising approximately 262 km²; 340 dairy farms with an average area of 2 km² each, 158 km² cattle grazing, 288 km² horticulture including banana growing, sugarcane farming, and cropping of approximately 8,000 km² wheat, 1,200 km² barley, and 6,000 to 7000 km² sorghum and maize.Fertiliser use in the cotton, dairy, beef, horticulture and sugar industries is essential to ensure productivity and profitability. However, fertiliser and byproducts from sugar cane harvesting methods form a component of surface runoff into the Great Barrier Reef lagoon.Principal agricultural activity is sugar cane farming in the wet tropics and cattle grazing in the dry tropics regions. Both are considered significant factors affecting water quality.Copper, a common industrial pollutant in the waters of the Great Barrier Reef, has been shown to interfere with the development of coral polyps.Flood plumes are flooding events associated with higher levels of nitrogen and phosphorus.In February 2007, due to a monsoonal climate system, plumes of sediment runoff have been observed reaching to the outmost regions of the reef.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เนื่องจากช่วงมนุษย์ใช้ทำพื้นที่น้ำลุ่มน้ำที่ติดกับรท 700 บางแท่ง 3000 อยู่ในโซนความเสี่ยงซึ่งได้ปฏิเสธคุณภาพน้ำเนื่องจากตะกอนกรดตามธรรมชาติและสารเคมีที่ไหลบ่า จากการทำนา และ การพัฒนาชายฝั่งและการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งซึ่งเป็นตัวธรรมชาติอุตสาหกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำน้ำเป็นฝ้ายเจริญเติบโต ประกอบประมาณ 262 km² 340 ฟาร์มโคนม มีพื้นที่เฉลี่ยของแต่ละ 2 km² วัว 158 km² grazing, 288 km² พืชสวนรวมทั้งกล้วยเติบโต อ้อยเกษตร และครอบประมาณ 8000 km² ข้าวสาลี ข้าว บาร์เลย์ km² 1200, 6000-7000 km² ข้าวฟ่าง และข้าวโพดFertiliser ที่ใช้ในการผ้าฝ้าย นม เนื้อ พืชสวน และอุตสาหกรรมน้ำตาลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ผลผลิตและผลกำไร อย่างไรก็ตาม fertiliser และสารจากวิธีการเก็บเกี่ยวอ้อยแบบส่วนประกอบของพื้นผิวที่ไหลบ่าเข้าลากูนรทกิจกรรมหลักด้านการเกษตรคือ อ้อยที่เลี้ยงในเขตร้อนเปียกและวัว grazing ในภูมิภาคเขตร้อนแห้ง ทั้งสองจะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพน้ำทองแดง เป็นมลพิษอุตสาหกรรมทั่วไปในน่านน้ำของรท ได้รับการแสดงเพื่อรบกวนการพัฒนาของ polyps ปะการังเบิ้ลพลูมอุทกภัยคือน้ำท่วมเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระดับสูงของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในเดือน 2007 กุมภาพันธ์ เนื่องจากระบบอากาศนอกกระจก เบิ้ลพลูมของตะกอนที่ไหลบ่าได้ถูกตรวจสอบถึงภูมิภาค outmost ออฟเดอะรีฟ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เนื่องจากช่วงของมนุษย์ใช้ทำจากน้ำพื้นที่ติดกับ Great Barrier Reef, 700 ของ 3000 แนวปะการังอยู่ในโซนความเสี่ยงที่คุณภาพน้ำได้ลดลงเนื่องจากตะกอนและสารเคมีที่เป็นกรดธรรมชาติที่ไหลบ่ามาจากการทำการเกษตรและ การพัฒนาชายฝั่งทะเลและการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลที่มี filter.Industries ธรรมชาติในพื้นที่น้ำการปลูกฝ้ายประกอบไปด้วยประมาณ 262 กิโลเมตร²; 340 ฟาร์มโคนมที่มีพื้นที่เฉลี่ยของ 2 กิโลเมตร²แต่ละ 158 กิโลเมตร²วัวเล็มหญ้า, 288 ตารางกิโลเมตรรวมทั้งพืชสวนกล้วยเจริญเติบโตการเกษตรอ้อยและการปลูกพืชประมาณ 8,000 กิโลเมตร²ข้าวสาลี, 1,200 กิโลเมตร²ข้าวบาร์เลย์และ 6,000 ถึง 7,000 กิโลเมตร²ข้าวฟ่างและการใช้ maize.Fertiliser ในผ้าฝ้าย, นม, เนื้อพืชสวนและน้ำตาลอุตสาหกรรมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตและการทำกำไร อย่างไรก็ตามปุ๋ยและสารจากวิธีการเก็บเกี่ยวอ้อยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นผิวที่ไ​​หลบ่าเข้ามาในกิจกรรมการเกษตร Great Barrier Reef lagoon.Principal เป็นการเกษตรอ้อยในเขตร้อนเปียกและสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคเขตร้อนแห้ง ทั้งสองจะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ quality.Copper น้ำมลพิษอุตสาหกรรมทั่วไปในน่านน้ำของ Great Barrier Reef ได้รับการแสดงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพัฒนาของปะการังขนนก polyps.Flood มีน้ำท่วมเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระดับที่สูงขึ้นของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 เนื่องจากระบบภูมิอากาศมรสุมขนนกของตะกอนที่ไหลบ่ามาได้รับการตั้งข้อสังเกตถึงการภูมิภาคนอกสุดของแนวปะการัง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เนื่องจากช่วงของการใช้ที่ทำจากน้ำพื้นที่ติดกันกับ Great Barrier Reef , 700 ของแนวปะการังเป็น 3000 ภายในโซนความเสี่ยงที่คุณภาพน้ำได้ลดลงเนื่องจากการธรรมชาติที่เป็นกรดและสารเคมีจากการเกษตร ดินตะกอน และการพัฒนาชายฝั่ง และ การสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นกรองธรรมชาติอุตสาหกรรมในพื้นที่รับน้ำจะเติบโตฝ้าย , ประกอบด้วยประมาณ 262 กม. พนักงานขาย ; ฟาร์มโคนม มีพื้นที่เฉลี่ย 2 กม. พนักงานขายแต่ละ 158 km พนักงานขายโคแทะเล็ม 288 กม. , พนักงานขายพืชสวน ได้แก่ กล้วย ปลูก อ้อย ทำนา และปลูกพืชประมาณ 8000 กม. 1200 km พนักงานขายพนักงานขายข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ 10 , 000 km พนักงานขายข้าวฟ่างและข้าวโพด ปุ๋ยใช้ในฝ้าย โคนม โคเนื้ออุตสาหกรรมพืชสวนและน้ำตาลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพและผลกำไร อย่างไรก็ตาม วันนี้ผลพลอยได้จากอ้อยและการเก็บเกี่ยววิธีการรูปแบบส่วนประกอบของน้ำผิวดินที่ไหลลงใน Great Barrier Reef ลากูน กิจกรรมการเกษตรหลักคือการทำไร่อ้อยในเขตร้อนชื้นและโคแทะเล็มในบริการภูมิภาคเขตร้อนทั้งสองจะถือว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพน้ำ ทองแดง สารมลพิษอุตสาหกรรมทั่วไปในน่านน้ำของ Great Barrier Reef , ได้รับการแสดงเพื่อขัดขวางการพัฒนา polyps ปะการัง . ขนนกน้ำท่วมเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกี่ยวข้องกับระดับที่สูงขึ้นของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 , เนื่องจากระบบภูมิอากาศแบบมรสุม ,ขนนกของดินตะกอนจะถูกสังเกตเห็นถึงภูมิภาคที่สุดของแนวปะการัง