The Surgeon General’s report of 200

The Surgeon General’s report of 2000 indicated that one in four American children is born into poverty.1 The report notes that children and adolescents living in poverty suffer twice as much tooth decay as their more affluent peers and their disease is more likely to go untreated. The report also mentioned that, although continuing reductions of dental caries in permanent teeth have been achieved, caries prevalence in primary teeth has stabilized or possibly increased in some population groups. A Census Bureau report published in March 2003 showed that the poverty rate for children in the United States rose in 2002, whereas it dropped for people 65 years and older.41 Nearly half of the 35 million people living in poverty were children. These are alarming data calling attention to a huge unmet oral health care need in the United States.
Following the report of the Surgeon General, Edelstein pointed out that, paradoxically, children living in poverty also have the highest rates of dental insurance coverage, largely through the Medicaid program and the State Children’s Health Insurance Program.42 Yet Medicaideligible children who have cavities have twice the number of carious teeth and twice the number of visits for pain relief but fewer total dental visits than children in families with higher incomes. He also noted that these disparities continue into adolescence and young adulthood but to a lesser degree. Because practitioners have the opportunity to assess the oral health of poor children individually, they will identify some patients at low risk for dental caries. However, the available data confirm that, from a demographic perspective, economically poor children are at high risk for dental caries.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

รายงานของแพทย์ทั่วไป 2000 ระบุว่า เด็กอเมริกันหนึ่งในสี่จะเกิด poverty.1 รายงานบันทึกว่า เด็กและวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในความยากจนทุกข์สองฟันผุเป็นเพื่อนของพวกเขาแต่ละมากขึ้น และโรคของพวกเขาเป็นยิ่งไปไม่ถูกรักษา รายงานกล่าวว่า แม้ว่าต่อไปการลดฟันผุในฟันถาวรได้รับความ ชุกการผุในฟันหลักมีเสถียร หรืออาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรบางกลุ่ม รายงานสำมะโนสำนักเผยแพร่ในเดือน 2003 มีนาคมแสดงให้เห็นว่า อัตราความยากจนของเด็กในสหรัฐอเมริกาโรสใน 2002 ใน ขณะที่มันลดลงสำหรับคนปี 65 older.41 เกือบครึ่งล้าน 35 คนอยู่ในความยากจนมีเด็ก เหล่านี้เป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงที่เรียกความสนใจต้องการใหญ่ unmet ปากดูแลสุขภาพในสหรัฐอเมริกาFollowing the report of the Surgeon General, Edelstein pointed out that, paradoxically, children living in poverty also have the highest rates of dental insurance coverage, largely through the Medicaid program and the State Children’s Health Insurance Program.42 Yet Medicaideligible children who have cavities have twice the number of carious teeth and twice the number of visits for pain relief but fewer total dental visits than children in families with higher incomes. He also noted that these disparities continue into adolescence and young adulthood but to a lesser degree. Because practitioners have the opportunity to assess the oral health of poor children individually, they will identify some patients at low risk for dental caries. However, the available data confirm that, from a demographic perspective, economically poor children are at high risk for dental caries.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

รายงานของศัลยแพทย์ทั่วไปของปี 2000 ชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสี่ของเด็กอเมริกันจะเกิดมาใน poverty.1 รายงานตั้งข้อสังเกตว่าเด็กและวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในความยากจนครั้งที่สองประสบฟันผุมากที่สุดเท่าที่เพื่อนที่ร่ำรวยมากขึ้นของพวกเขาและโรคของพวกเขามีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษา รายงานยังกล่าวว่าแม้ว่าการลดลงอย่างต่อเนื่องของโรคฟันผุในฟันแท้ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในฟันผุฟันน้ำนมมีความเสถียรหรือเพิ่มขึ้นอาจเป็นไปได้ในบางกลุ่มประชากร สำนักสำรวจสำมะโนประชากรของรายงานที่ตีพิมพ์มีนาคม 2003 พบว่าอัตราความยากจนสำหรับเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นในปี 2002 ในขณะที่มันลดลงสำหรับคน 65 ปีและ older.41 เกือบครึ่งหนึ่งของ 35 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในความยากจนเป็นเด็ก เหล่านี้เป็นข้อมูลที่น่าตกใจเรียกร้องความสนใจการดูแลสุขภาพช่องปากขนาดใหญ่กระทําความต้องการในประเทศสหรัฐอเมริกา.
หลังจากรายงานของศัลยแพทย์ทั่วไปที่ Edelstein ชี้ให้เห็นว่าขัดแย้งเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนยังมีอัตราที่สูงที่สุดของความคุ้มครองประกันทันตกรรมส่วนใหญ่ผ่าน โครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลและรัฐประกันสุขภาพเด็ก Program.42 แต่เด็ก Medicaideligible ที่มีฟันผุมีสองเท่าของจำนวนของฟันผุและครั้งที่สองจำนวนการเข้าชมเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน แต่การเข้าชมรวมน้อยกว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้สูงขึ้น นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่าความแตกต่างเหล่านี้ยังคงเข้ามาในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่ในระดับน้อย เพราะผู้ปฏิบัติงานมีโอกาสที่จะประเมินสุขภาพช่องปากของเด็กยากจนเป็นรายบุคคลที่พวกเขาจะระบุผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงต่ำสำหรับโรคฟันผุ อย่างไรก็ตามข้อมูลที่มีอยู่ยืนยันว่าจากมุมมองของประชากรเด็กยากจนทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคฟันผุ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ศัลยแพทย์ทั่วไปรายงาน 2000 พบว่าหนึ่งในเด็กอเมริกันสี่ คือ เกิดความยากจน . 1 รายงานบันทึกว่าเด็กและวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในความยากจนประสบสองเท่าฟันผุเป็นขุนนางร่ำรวย และโรคของพวกเขามีแนวโน้มที่จะไปดิบ รายงานยังกล่าวว่าแม้ว่าการลดโรคฟันผุฟันถาวรได้สำเร็จ โดยความชุกของฟันหลักยังทรงตัว หรืออาจจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากร สำนักงานสำมะโนประชากรรายงานตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2003 พบว่าอัตราความยากจนของเด็กในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นในปี 2545 แต่ลดลงสำหรับคน 65 ปีและเก่า41 เกือบครึ่งหนึ่งของ 35 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในความยากจนเป็นเด็ก เหล่านี้จะน่ากลัวข้อมูล เรียกความสนใจได้ดีมาก ต้องการการดูแลสุขภาพในช่องปากในสหรัฐอเมริกา .
ตามรายงานของศัลยแพทย์ทั่วไป , เอดัลสไตน์ชี้ให้เห็นว่า , ขัดแย้ง , เด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและมีอัตราสูงสุดของการประกันทันตกรรมส่วนใหญ่ผ่านโปรแกรม Medicaid และสภาพของเด็กประกันสุขภาพ program.42 ยังเด็ก medicaideligible ที่มีฟันผุมีสองเท่าของจำนวนฟัน โรคฟันผุและสองจำนวนเยี่ยมชมเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่จำนวนรวมฟันชมมากกว่าเด็กในครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่าเขายังกล่าวว่า ความแตกต่างเหล่านี้ยังอยู่ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่ในระดับน้อย เพราะผู้ปฏิบัติงานมีโอกาสที่จะประเมินสุขภาพช่องปากของเด็กเป็นรายบุคคล พวกเขาจะระบุว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่ำของการเกิดโรคฟันผุ . อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ยืนยันว่าจากมุมมองส่วนบุคคลเด็กยากจนทางเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงของการเกิดโรคฟันผุ .