I. INTRODUCTION TO THE PEDAGOGIESOF

I. INTRODUCTION TO THE PEDAGOGIES
OF ENGAGEMENT
Russ Edgerton introduced the term “pedagogies of engagement” in his 2001 Education White Paper [1], in which he
reflected on the projects on higher education funded by the Pew
Charitable Trusts. He wrote:
“Throughout the whole enterprise, the core issue, in my view, is the mode
of teaching and learning that is practiced. Learning ‘about’ things does
not enable students to acquire the abilities and understanding they will
need for the twenty-first century. We need new pedagogies of engagement
that will turn out the kinds of resourceful, engaged workers and citizens
that America now requires.”
Prior to Edgerton’s paper, the widely distributed and influential
publication called The Seven Principles for Good Practice in Undergraduate
Education [2] stressed pedagogies of engagement in concept. Three
of the principles speak directly to pedagogies of engagement,
namely, that good practice encourages student-faculty contact, cooperation among students, and active learning.
More recently, the project titled The National Survey of Student Engagement (NSSE) [3] deepens our understanding of how
students perceive classroom-based learning, in all its forms, as an element in the bigger issue of student engagement in their college education. The NSSE project conceives that student engagement is
not just a single course in a student’s academic career, but rather a
pattern of his or her involvement in a variety of activities. As such,
NSSE findings are a valuable assessment tool for colleges and universities to track how successful their academic practices are in engaging their student bodies. The NSSE project is grounded in the
proposition that student engagement, the frequency with which
students participate in activities that represent effective educational
practice, is a meaningful proxy for collegiate quality and, therefore,
by extension, quality of education. For example, the annual survey
of freshmen and seniors asks students how often they have participated in, for example, projects that required integrating ideas or information from various sources, used e-mail to communicate with
an instructor, asked questions in class or contributed to class discussions, received prompt feedback from faculty on their academic
performance, participated in community-based projects, or tutored
or taught other students. Student responses are organized around
five benchmarks:
1. Level of academic challenge: Schools encourage achievement
by setting high expectations and emphasizing importance of
student effort.
2. Active and collaborative learning: Students learn more when
intensely involved in educational process and are encouraged
to apply their knowledge in many situations.
3. Student-faculty interaction: Students able to learn from experts and faculty serve as role models and mentors.
4. Enriching educational experiences: Learning opportunities
inside and outside classroom (diversity, technology, collaboration, internships, community service, capstones) enhance
learning.
5. Supportive campus environment: Students are motivated and
satisfied at schools that actively promote learning and stimulate social interaction.
Astin’s [4] large-scale correlational study of what matters in college (involving 27,064 students at 309 baccalaureate-granting institutions) found that two environmental factors were by far the most
predictive of positive change in college students’ academic development, personal development, and satisfaction. These two factors—
interaction among students and interaction between faculty and
students—carried by far the largest weights and affected more general education outcomes than any other environmental variables
Pedagogies of Engagement:
Classroom-Based Practices
studied, including the curriculum content factors. This result indicates that how students approach their general education and how the
faculty actually deliver the curriculum is more important than the
formal curriculum, that is, the content, collection, and sequence of
courses.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

I. PEDAGOGIES แนะนำของหมั้นEdgerton รัสนำคำ "pedagogies ของหมั้น" ในเขา 2001 ศึกษากระดาษสีขาว [1], ในที่เขาผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยพิวที่ศึกษามิใช่กุศล เขาเขียน:"ทั่วทั้งองค์กร หลัก ดี ได้โหมดการสอนคือการเรียนรู้ฝึกฝน เรียนรู้ 'เกี่ยวกับ' สิ่งไม่ให้นักเรียนได้รับความสามารถและความเข้าใจที่พวกเขาจะไม่จำเป็นสำหรับศตวรรษยี่สิบการ เราต้อง pedagogies ใหม่ของหมั้นที่จะเปิดออกชนิดของหมั้น กฏหมายแรงงานและประชาชนที่อเมริกาตอนนี้ต้องการ"ก่อนกระดาษของ Edgerton แพร่กระจาย และมีอิทธิพลประกาศเรียกเจ็ดหลักดีในระดับปริญญาตรี[2] การศึกษาเน้น pedagogies ในแนวคิด สามหลักการพูดคุยโดยตรงกับ pedagogies ของหมั้นได้แก่ ที่ดีสนับสนุนให้นักศึกษาคณาจารย์ผู้ติดต่อ ความร่วมมือนักเรียน และเรียนรู้งานเมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการเดอะแห่งชาติสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนความผูกพัน (NSSE) [3] ที่ชื่อว่า deepens เราเข้าใจวิธีนักเรียนสังเกตห้องเรียนเรียนรู้ ในทุกรูปแบบ เป็นองค์ประกอบในปัญหาใหญ่ของการจ้างนักเรียนนักศึกษาวิทยาลัย โครงการ NSSE conceives หมั้นนักเรียนว่าไม่ได้เป็นเพียงหลักสูตรเดียวในนักเรียนของหลักสูตรสายอาชีพ แต่แทนที่จะเป็นรูปแบบของ ตนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่หลากหลาย เช่นNSSE ผลการวิจัยเป็นเครื่องมือประเมินที่มีคุณค่าสำหรับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเพื่อติดตามสำเร็จวิธีปฏิบัติตนเพื่ออยู่ในเสน่ห์ศพนักเรียน โครงการ NSSE เป็นสูตรในการproposition ที่เรียนความผูกพัน ความถี่ที่นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีผลการศึกษาฝึก พร็อกซี่ที่มีความหมายสำหรับคุณภาพทยา และ จึงโดยนามสกุล ตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ตัวอย่าง แบบสำรวจประจำปีเฟรชเมนและรุ่นพี่ถามนักเรียนว่าพวกเขาได้มีส่วนร่วมใน ตัวอย่าง โครงการที่ต้องการรวมความคิดหรือข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ใช้อีเมล์สื่อสารกับผู้สอน คำถามในชั้นเรียน หรือการเรียนสนทนา ส่วนรับพร้อมข้อเสนอแนะจากคณะในการศึกษาประสิทธิภาพ การเข้าร่วมในโครงการชุมชน หรือ tutoredหรือสอนนักเรียนคนอื่น ๆ ตอบนักเรียนมีการจัดระเบียบรอบเกณฑ์มาตรฐาน 5:1. ระดับของความท้าทายด้านการศึกษา: โรงเรียนส่งเสริมความสำเร็จโดยตั้งความคาดหวังสูง และเน้นความสำคัญของความพยายามของนักเรียน2 การเรียนรู้ที่ใช้งาน และความร่วมมือ: เพิ่มเติมเมื่อนักเรียนความเกี่ยวข้องในกระบวนการศึกษา และสนับสนุนให้การใช้ความรู้ในหลายสถานการณ์3. โต้ตอบคณะนักเรียน: นักเรียนสามารถเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและคณะที่ทำหน้าที่เป็นรูปแบบบทบาทและ mentors4. เสริมประสบการณ์ศึกษา: โอกาสการเรียนรู้ปรับปรุงภายในและภายนอกห้องเรียน (ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยี ร่วมกัน ฝึกงาน บริการชุมชน capstones)เรียนรู้5. สิ่งแวดล้อมสนับสนุนมหาวิทยาลัย: นักเรียนมีแรงจูงใจ และความพึงพอใจที่โรงเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ และกระตุ้นสังคมอย่างแข็งขันของแอสติน [4] ขนาดใหญ่ correlational ศึกษาสิ่งสำคัญในวิทยาลัย (เกี่ยวข้องกับโรงเรียนสถาบันสิทธิ baccalaureate 309 27,064) พบว่า ปัจจัยสองสิ่งแวดล้อมได้โดยไกลที่สุดคาดการณ์ของการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนพัฒนาวิชาการ พัฒนา และความพึงพอใจ ปัจจัยเหล่านี้สองตัวโต้ตอบระหว่างนักเรียนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคณาจารย์ และนักเรียนซึ่งดำเนินการโดยน้ำหนักที่ใหญ่ที่สุด และได้รับผลกระทบทั่วไปผลการศึกษากว่าแปรสิ่งแวดล้อมอื่น ๆPedagogies ของหมั้น:ปฏิบัติตามห้องเรียนศึกษา รวมถึงตัวเนื้อหาของหลักสูตร ผลนี้หมายถึง วิธีเรียนวิธีการสอนทั่วไป และวิธีการคณะจริงส่งหลักสูตรนั้นสำคัญกว่าการหลัก สูตรที่เป็นทางการ ที่ เนื้อหา ชุด และลำดับของหลักสูตรของ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

I. เบื้องต้น Pedagogies
ของหมั้นรัส Edgerton แนะนำคำว่า "ครุศาสตร์ของหมั้น" ในปี 2001 การศึกษากระดาษสีขาวของเขา [1] ซึ่งเขาสะท้อนให้เห็นในโครงการเกี่ยวกับการศึกษาที่สูงขึ้นได้รับทุนจากPew ไว้ใจ เขาเขียนว่า: "องค์กรตลอดทั้งปัญหาหลักในมุมมองของฉันคือโหมดของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ที่มีประสบการณ์ เรียนรู้เกี่ยวกับ 'สิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้นักเรียนที่จะได้รับความสามารถและความเข้าใจที่พวกเขาจะต้องสำหรับศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เราจำเป็นต้องครุศาสตร์ใหม่ของการมีส่วนร่วมที่จะเปิดออกชนิดของไหวพริบคนงานมีส่วนร่วมและประชาชนที่อเมริกาตอนนี้ต้อง. "ก่อนที่จะมีกระดาษเอ็ดเกอร์ตันของการกระจายอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่าหลักการเจ็ดปฏิบัติที่ดีในระดับปริญญาตรีการศึกษา[2] เน้น ครุศาสตร์ของการสู้รบในแนวคิด สามหลักการพูดโดยตรงกับครุศาสตร์ของหมั้นคือว่าการปฏิบัติที่ดีส่งเสริมให้ติดต่อนักศึกษาคณาจารย์ความร่วมมือระหว่างนักเรียนและการเรียนรู้การใช้งาน. เมื่อเร็ว ๆ นี้โครงการเรื่องการสำรวจแห่งชาติของความผูกพันของนักศึกษา (NSSE) [3] ล้ำลึกของเรา ความเข้าใจในวิธีนักเรียนรับรู้เรียนรู้ในห้องเรียนที่ใช้ในทุกรูปแบบที่เป็นองค์ประกอบในปัญหาที่ใหญ่กว่าของการมีส่วนร่วมของนักเรียนในการศึกษาวิทยาลัยของพวกเขา โครงการ NSSE ตั้งครรภ์ที่มีส่วนร่วมของนักเรียนไม่ได้เป็นเพียงหลักสูตรเดียวในอาชีพของนักเรียนวิชาการแต่เป็นรูปแบบของการมีส่วนร่วมของเขาหรือเธอในความหลากหลายของกิจกรรม เช่นการค้นพบ NSSE เป็นเครื่องมือการประเมินที่มีคุณค่าสำหรับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในการติดตามการปฏิบัติว่าประสบความสำเร็จทางวิชาการของพวกเขาจะมีส่วนร่วมในร่างกายนักเรียน โครงการ NSSE เป็นเหตุผลในเรื่องที่มีส่วนร่วมของนักเรียนความถี่ที่นักศึกษามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นตัวแทนของการศึกษาที่มีประสิทธิภาพการปฏิบัติเป็นพร็อกซี่ที่มีคุณภาพมีความหมายสำหรับวิทยาลัยและดังนั้นโดยขยายคุณภาพของการศึกษา ยกตัวอย่างเช่นการสำรวจประจำปีของนักศึกษาและผู้สูงอายุให้นักเรียนวิธีการที่พวกเขามักจะมีส่วนร่วมในตัวอย่างเช่นโครงการที่จำเป็นต้องมีการบูรณาการความคิดหรือข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่ใช้อีเมลในการสื่อสารกับผู้สอนถามคำถามในชั้นเรียนหรือมีส่วนทำให้อภิปรายในชั้นเรียนที่ได้รับการตอบรับรวดเร็วจากคณาจารย์ในทางวิชาการการปฏิบัติงานเข้าร่วมในโครงการชุมชนตามหรือเรียนหนังสือหรือสอนนักเรียนคนอื่นๆ การตอบสนองของนักศึกษาที่มีการจัดรอบห้ามาตรฐาน: 1 ระดับของความท้าทายทางวิชาการ: โรงเรียนส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการตั้งค่าความคาดหวังสูงและเน้นความสำคัญของความพยายามของนักเรียน. 2 การเรียนรู้การใช้งานและความร่วมมือ: นักเรียนได้เรียนรู้มากขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมอย่างมากในขั้นตอนการศึกษาและได้รับการสนับสนุนในการประยุกต์ใช้ความรู้ของพวกเขาในหลายๆ สถานการณ์. 3 การทำงานร่วมกันของนักศึกษาคณะนักศึกษาสามารถที่จะเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและคณะทำหน้าที่เป็นแบบอย่างและพี่เลี้ยง. 4 เพิ่มคุณค่าประสบการณ์การศึกษา: โอกาสการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน(ความหลากหลายทางเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันฝึกงานบริการชุมชน capstones) เสริมสร้างการเรียนรู้. 5 สภาพแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนนักเรียนมีแรงจูงใจและ. ความพึงพอใจในโรงเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้และกระตุ้นให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม Astin ของ [4] ขนาดใหญ่การศึกษาหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่สำคัญในวิทยาลัย (ที่เกี่ยวข้องกับ 27,064 นักเรียนที่ 309 สถาบันบัณฑิตอนุญาต) พบว่าทั้งสองปัจจัยแวดล้อม อยู่ไกลโดยส่วนใหญ่คาดการณ์ของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในการพัฒนาวิชาการนักศึกษา'การพัฒนาส่วนบุคคลและความพึงพอใจ ทั้งสอง factors- ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และนักเรียนดำเนินการไกลโดยน้ำหนักที่ใหญ่ที่สุดและได้รับผลกระทบผลการศึกษาทั่วไปมากกว่าตัวแปรด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ Pedagogies ของหมั้น: ปฏิบัติห้องเรียนตามการศึกษารวมถึงปัจจัยเนื้อหาหลักสูตร ผลที่ได้นี้แสดงให้เห็นว่าวิธีการที่นักเรียนศึกษาทั่วไปวิธีการของพวกเขาและวิธีการที่คณะส่งมอบจริงหลักสูตรที่มีความสำคัญมากขึ้นกว่าหลักสูตรอย่างเป็นทางการว่าเป็นเนื้อหาที่จัดเก็บและลำดับของหลักสูตร

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผมแนะนำให้ pedagogies
ของหมั้น
รัส กเกอร์ตันแนะนำคำว่า " pedagogies ของหมั้น " ในการศึกษาของเขา 2544 กระดาษสีขาว [ 1 ] ซึ่งเขา
สะท้อนในโครงการอุดมศึกษา สนับสนุนโดย Pew
มูลนิธิไว้ใจ เขาเขียน :
" ทั่วทั้งองค์กร ปัญหาหลักในมุมมองของผมคือ โหมด
การเรียนการสอนที่ฝึกมาการเรียนรู้เกี่ยวกับ ' สิ่งที่ทำ
ไม่ได้ช่วยให้นักเรียนได้รับความสามารถและความเข้าใจพวกเขาจะ
จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เราต้องการ pedagogies ใหม่ของหมั้น
ที่จะเปลี่ยนชนิดของข้อมูล หมั้นคนงานและประชาชน
ที่อเมริกาตอนนี้ต้อง "
ก่อนกระดาษกเกอร์ตัน , การกระจายอย่างกว้างขวางและผู้มีอิทธิพล
สิ่งพิมพ์ที่เรียกว่าเจ็ดหลักการปฏิบัติที่ดีในการศึกษาระดับปริญญาตรี
[ 2 ] เครียด pedagogies ของหมั้นในแนวคิด 3
หลักการพูดเพื่อ pedagogies ของการหมั้น
คือว่าดีฝึกให้นักศึกษาติดต่อคณะความร่วมมือของนักศึกษา และกิจกรรมการเรียนรู้ .
เมื่อเร็วๆ นี้การศึกษาเรื่องการสำรวจแห่งชาติของนักเรียนหมั้น ( nsse ) [ 3 ] ทำให้ความเข้าใจของเราวิธีการ
นักเรียนรับรู้การเรียนตาม ในทุกรูปแบบ เป็นองค์ประกอบในปัญหาที่ใหญ่กว่านักเรียนหมั้นในการศึกษาของวิทยาลัย โครงการ nsse conceives การหมั้นนักศึกษา
ไม่เพียงเดียวแน่นอนในงานวิชาการของนักเรียน แต่ค่อนข้าง
รูปแบบของการมีส่วนร่วมของเขาหรือเธอในความหลากหลายของกิจกรรม เช่น ,
nsse ค้นพบเครื่องมือประเมินที่มีคุณค่าสำหรับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเพื่อติดตามวิธีการที่ประสบความสำเร็จของพวกเขา การปฏิบัติงานวิชาการในการศพนักศึกษาของพวกเขา โครงการ nsse เป็นเหตุผลใน
โจทย์ที่นักเรียนหมั้น ความถี่ที่
นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่แสดงถึงประสิทธิภาพทางการศึกษา
ฝึก คือ ตัวแทนที่มีคุณภาพวิทยาลัยและ , จึง ,
ส่งเสริมคุณภาพการศึกษา ตัวอย่างเช่นการสำรวจประจำปีของนักศึกษารุ่นพี่และนักศึกษา
ถามบ่อยพวกเขาได้เข้าร่วม เช่น โครงการที่ต้องบูรณาการความคิดหรือข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ