S.cerevisiae is the most commonly u

S.cerevisiae is the most commonly used microorganism for
bioethanol production because of its high production rate, but it
cannot use xylose for fermentation which is one of the main sugars
present in lignocellulosic biomass, especially in fruit pomaces.
Various filamentous fungi, such as certain Trichoderma and Aspergillus
species, have been reported to produce bioethanol as the
main fermentation product from lignocellulosic biomass, directly
[8,9]. These fungi are thought to contain two biological systems:
one system produces cellulase enzyme for degradation of cellulose
to fermentable sugars under aerobic conditions; the second system
produces ethanol under anaerobic conditions [10]. However,
although Trichoderma and Aspergillus are able to utilize five of the
lignocellulosic sugars (glucose, mannose, galactose, xylose and
arabinose) and the ability of direct fermentation of lignocellulose to
bioethanol, they do not produce bioethanol with high yield and
high rate. Therefore, in order to increase the fermentation yield,
utilization of cocultures could be a convenient way of producing
bioethanol from agricultural residues.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

S.cerevisiae เป็นจุลินทรีย์ที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับผลิต bioethanol เนื่องจากอัตราการผลิตสูง แต่ไม่สามารถใช้ xylose สำหรับหมักซึ่งเป็นน้ำตาลหลักอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในชีวมวล lignocellulosic โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลไม้ pomacesต่าง ๆ filamentous เชื้อรา Trichoderma และ Aspergillus บางรายงานการผลิต bioethanol เป็นพันธุ์ การผลิตภัณฑ์หมักดองหลักจาก lignocellulosic ชีวมวล โดยตรง[8,9] การเชื้อราเหล่านี้จะคิดว่า มีสองระบบชีวภาพ:ระบบหนึ่งสร้างเอนไซม์ cellulase การสลายตัวของเซลลูโลสการน้ำตาล fermentable ภายใต้เงื่อนไขแอโรบิก ระบบที่สองผลิตเอทานอลภายใต้เงื่อนไขไม่ใช้ [10] อย่างไรก็ตามแม้ Trichoderma และ Aspergillus ใช้ห้าของlignocellulosic น้ำตาล (กลูโคส mannose กาแล็กโทส xylose และarabinose) และความสามารถของ lignocellulose ให้หมักโดยตรงbioethanol พวกเขาไม่ผลิต bioethanol กับผลตอบแทนสูง และอัตราสูง ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตการหมักใช้ cocultures อาจเป็นวิธีสะดวกในการผลิตbioethanol จากเกษตรตกค้าง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

S.cerevisiae
เป็นจุลินทรีย์ที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับการผลิตเอทานอลเนื่องจากอัตราการผลิตที่สูงของมัน
แต่มันไม่สามารถใช้สำหรับการหมักไซโลสซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตาลหลักอยู่ในชีวมวลลิกโนเซลลูโลสโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน pomaces ผลไม้. เชื้อราต่างๆเช่นบาง เชื้อรา Trichoderma และ Aspergillus สายพันธุ์ที่ได้รับรายงานในการผลิตเอทานอลเป็นผลิตภัณฑ์หลักหมักจากชีวมวลลิกโนเซลลูโลสโดยตรง[8,9] เชื้อราเหล่านี้มีความคิดที่จะมีสองระบบทางชีวภาพ: ระบบใดระบบหนึ่งผลิตเอนไซม์เซลลูเลสสำหรับย่อยสลายเซลลูโลสในการย่อยน้ำตาลภายใต้เงื่อนไขแอโรบิก; ระบบที่สองผลิตเอทานอลภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ใช้ออกซิเจน [10] อย่างไรก็ตามแม้ว่าเชื้อรา Trichoderma Aspergillus และสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากห้าของน้ำตาลลิกโนเซลลูโลส(กลูโคสแมนโนส, กาแลคโต, ไซโลสและอราบิโน) และความสามารถในการหมักโดยตรงของลิกโนเซลลูโลสเพื่อเอทานอลที่พวกเขาไม่ได้ผลิตเอทานอลที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงและอัตราที่สูง ดังนั้นเพื่อที่จะเพิ่มผลผลิตการหมัก, การใช้ประโยชน์จาก cocultures อาจจะเป็นวิธีที่สะดวกในการผลิตเอทานอลจากสารตกค้างทางการเกษตร

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

s.cerevisiae คือมักใช้จุลินทรีย์เพื่อการผลิตเอทานอล
เพราะอัตราการผลิตสูงแต่มัน
B ใช้ไม่สามารถสำหรับหมักซึ่งเป็นหนึ่งของน้ำตาลหลัก
ที่มีอยู่ในชีวมวล lignocellulosic , โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน pomaces ผลไม้
เชื้อราเส้นใยต่าง ๆเช่น เชื้อราบางชนิด Aspergillus
, ได้รับการรายงานเพื่อผลิตเอทานอล
เป็นผลิตภัณฑ์หมักหลักจากชีวมวล lignocellulosic เลย
[ 8,9 ] เชื้อราเหล่านี้มีความคิดที่จะประกอบด้วยสองระบบชีวภาพ :
1 ระบบผลิตเซลลูเลสเอนไซม์เพื่อการย่อยสลายเซลลูโลส
จะหมักน้ำตาลภายใต้สภาวะแอโรบิก ;
ระบบที่สองผลิตเอทานอลภายใต้เงื่อนไข [ 10 ] แบบไม่ใช้ออกซิเจน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชื้อรา Aspergillus
และสามารถใช้ห้า
lignocellulosic น้ำตาล ( กลูโคส แมนโนส และกาแลคโตส B
) และความสามารถในการหมักโดยตรงของลิกโนเซลลูโลส

เพลง พวกเขาไม่ผลิตเอทานอลที่มีผลผลิตสูงและ
คะแนนสูง ดังนั้น เพื่อเพิ่มกระบวนการหมักผลผลิต
ใช้ cocultures อาจเป็นวิธีที่สะดวกในการผลิตเอทานอลจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
.