ประวัติวัดช่องลม วัดช่องลม พระอารามหลวงแห่งนี้ นับเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีอายุยั่งยืนมาเกือบ 200 ปี และนับว่าจะอยู่ยั่งยืนต่อไปอย่างไม่มีวันเสื่อมสลาย เป็นวัดที่พำนักของพระราชสาครมุนี เจ้าคณะจังหวัด สมุทรสาคร และเจ้าอาวาสวัดช่องลม
ชื่อวัด ในสมัยโน้นชาวบ้านพากัน เรียกว่า "วัดท้ายบ้าน" เห็นจะเป็นวัดอยู่สุดหมู่บ้านจึงเรียกเช่นนั้น เพื่อความเหมาะสมในเวลาต่อมาจึงพากันเรียก "วัดช่องลม" จนชาวบ้านเริ่มลืมวัดท้ายบ้านแทบหมดแล้ว ถ้าใครไปเรียกเข้าคงมีคนรู้จักน้อยเต็มที
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยกวัดช่องลมเป็นพระอารามหลวง เมื่อวันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2508 และถัดจากนั้นเป็นเวลาอีก 5 เดือนเต็ม ก็ได้ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าชาย พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงทุกพระองค์ มาทรงบำเพ็ญพระ-ราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดช่องลมเมื่อวันที่26 ตุลาคม 2508 นั้นนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตาบารมีล้นกล้า ฯ ของเหล่าพศกนิกรอย่างถ้วนหน้า
ชัยภูมิที่ตั้งของวัดช่องลม ซึ่งด้านหน้าวัดหันสู่ทิศใต้ตรงกับปากน้ำท่าจีนพอดีมองเห็นทัศนียภาพปากอ่าวที่งดงามยิ่งนักส่วนทางเบื้องหลังวัดก็ช่างมีความประหลาดมากเหมือนธรรมชาติช่วยสรรสร้างอย่างจำเพาะเจาะจงให้หันหลังสู่แม่น้ำท่าจีนอีกด้วย แผ่นดินสำคัญตอนที่เป็นชัยภูมิสำคัญที่ตั้งวัดช่องลมจึงอยู่ตรงตอนที่แคบคอด หากที่ดินตอนนี้มิได้เป็นที่ตั้งวัด และขาดการถมเสริมเติมต่อไว้เสมอ ๆ ก็น่าจะขาดออกเปลี่ยนทางเดินของกระแสน้ำเปลี่ยนปากน้ำท่าจีนใหม่ ตำบลท่าฉลอมก็จะกลายเป็นเกาะหลุดออกจากแผ่นดินใหญ่ไปแน่ทีเดียว เมื่อแผ่นดินที่ตั้งวัดมีความสำคัญมากเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาไปให้ถึงบรรพบุรุษคนแรกที่ได้มาเห็นชัยภูมิเหมาะและเจาะจงสร้างเป็นวัดขึ้นและผู้ที่จะบอกเล่าได้อย่างละเอียดก็เห็นจะไม่มีใครอื่น ท่านผู้นั้นก็คือ พระราชสาครมุนีนั่นเอง
คุณปู่และคุณย่าอ่วม แช่เล้า ได้บริจาคที่ดินสร้างวัดช่องลม ที่แปลงนี้ตามสันนิฐานแล้ว น่าจะกว้างขวางมากประมาณ 60 ไร่ เมื่อก่อนนี้ตามคำบอกเล่าว่า โรงเรียนเปี่ยมวิทยาคม (สกุลจินดาสร้าง) ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า นอกจากนั้นแล้ว หน้าโรงเรียนยังมีสนามฟุตบอลอีกหนึ่งสนาม โรงเรียนหลังนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งแรก ต่อมาได้ย้ายไปตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหลังใหม่ เพราะตลิ่งพังรุกเข้ามา แม้ว่าจะยกไปอยู่ที่ที่ใหม่นี้แล้วก็ยังไม่พ้นอันตราย เพราะภัยธรรมชาติรบกวนรุนแรงเช่นเคย จึงย้ายมาตั้งอยู่ข้างหลังวัดด้านเหนือเท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่ตั้งวัดแปลงเก่าเหลืออยู่ประมาณ 5 ไร่ นอกนั้นพังลงน้ำหมดแล้ว เท่าที่เห็นอยู่เป็นที่ของนายเต๋าบิดาของนายบุญศรี นุตตาลัย และผู้ใหญ่จรูญ จันทร์ภักดี ซึ่งได้ถวายไว้มีเนื้อที่ 22 ไร่ 49 วา และต่อมานายบุญศรี นุตาลัย และผู้ใหญ่จรูญ จันทร์ภักดี ได้ร่วมกันถวายอีกแปลงหนึ่งเนื้อที่ 27 ไร่ แปลงนี้ติดกับแม่น้ำท่าจีนด้านหลังวัดและติดกับทางรถไฟสายแม่กลองเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2496 รวมเป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 47 ไร่ 40 วา รวมทั้งของเก่าที่เหลืออยู่ 5 ไร่ รวมเป็น 52 ไร่ 40 วา