Malic acid was first isolated from

Malic acid was first isolated from apple juice by Carl Wilhelm Scheele in 1785.[3] Antoine Lavoisier in 1787 proposed the name acide malique, which is derived from the Latin word for apple, mālum — as is its genus name Malus.[4][5] In German it is named Äpfelsäure (or Apfelsäure) after plural or singular of the fruit apple, but the salt(s) Malat(e). Malic acid contributes to the sourness of green apples. It is present in grapes and in most wines with concentrations sometimes as high as 5 g/l.[6] It confers a tart taste to wine, although the amount decreases with increasing fruit ripeness. The taste of malic acid is very clear and pure in rhubarb, a plant for which it is the primary flavor. It is also a component of some artificial vinegar flavors, such as "salt and vinegar" flavored potato chips.[7]

The process of malolactic fermentation converts malic acid to much milder lactic acid. Malic acid occurs naturally in all fruits and many vegetables, and is generated in fruit metabolism.[8]

Malic acid, when added to food products, is denoted by E number E296. Malic acid is the source of extreme tartness in United States-produced confectionery, the so-called extreme candy. It is also used with or in place of the less sour citric acid in sour sweets. These sweets are sometimes labeled with a warning stating that excessive consumption can cause irritation of the mouth. It is approved for use as a food additive in the EU,[9] USA[10] and Australia and New Zealand[11] (where it is listed by its INS number 296).

Malic acid provides 10 kJ of energy per gram during digestion.[12]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กรดเป็นครั้งแรกแยกได้จากน้ำแอปเปิ้ล โดย Carl Wilhelm Scheele 2328 [3] ลาวอยซิเออร์ออในการนำเสนอชื่อ acide malique ซึ่งได้มาจากคำละตินสำหรับ apple, mālum — เป็นเป็นชื่อสกุล Malus [4] [5] ในภาษาเยอรมัน นั้นจะชื่อ Äpfelsäure (หรือ Apfelsäure) หลังนามพหูพจน์หรือเอกพจน์ของแอปเปิ้ลผลไม้ แต่ salt(s) Malat(e) กรดก่อให้เกิดมีความเปรี้ยวของแอปเปิ้ลสีเขียว มีอยู่ ในองุ่น และไวน์มีความเข้มข้นที่บางครั้งมากถึง 5 กรัม/ลิตร [6] มันตอบลองชิมไวน์ แม้ว่าปริมาณลดลงเมื่อเพิ่มผลไม้สุก รสชาติของกรดจะโปร่งใส และบริสุทธิ์ใน rhubarb พืชที่เป็นรสชาติหลัก เป็นคอมโพเนนต์บางรสน้ำส้มสายชูเทียม เช่น "เกลือและน้ำส้มสายชู" รสมันฝรั่ง [7]กระบวนการหมัก malolactic แปลงกรดให้กรดแลคติกมากจ้า กรดเกิดขึ้นตามธรรมชาติในทุกผลไม้และผักมากมาย และสร้างขึ้นในการเผาผลาญของผลไม้ [8]กรด เมื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหาร จะเขียนแทน ด้วย E หมายเลข E296 กรดเป็นแหล่งของกรดมากในสหรัฐอเมริกา-ผลิตขนม ลูกกวาดมากเรียกว่า ใช้กับ หรือ แทนน้อยกรดเปรี้ยวในเปรี้ยวหวาน ขนมเหล่านี้มีบางครั้งติดป้ายเตือนระบุว่า การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ระคายเคืองปาก ได้รับอนุมัติสำหรับการใช้ฐานะในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา [9] [10] และออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ [11] (ที่มันจะแสดง โดยการเติมเลข 296)กรดให้ 10 kJ พลังงานต่อกรัมในระหว่างการย่อย [12]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กรดเป็นครั้งแรกที่แยกได้จากน้ำแอปเปิ้โดยคาร์ลวิลเฮล์ Scheele ใน 1785 [3] Antoine Lavoisier ใน 1,787 เสนอชื่อ Malique acide ซึ่งได้มาจากคำภาษาละตินสำหรับแอปเปิ้ล, Malum -. เป็นชื่อสกุลของ Malus [4] [5] ในเยอรมันมันเป็นชื่อÄpfelsäure (หรือApfelsäure) หลังจากเอกพจน์และพหูพจน์ของแอปเปิ้ลผลไม้ แต่เกลือ (s) Malat (E) กรดก่อให้เกิดความเปรี้ยวของแอปเปิ้ลสีเขียว มันมีอยู่ในองุ่นและไวน์ที่มีความเข้มข้นมากที่สุดบางครั้งสูงที่สุดเท่าที่ 5 g / l. [6] มันฟาโรห์รสเปรี้ยวไวน์แม้ว่าจำนวนเงินที่ลดลงด้วยการเพิ่มผลไม้สุก รสชาติของกรดมาลิกมีความชัดเจนมากและบริสุทธิ์ในผักชนิดพืชที่มันเป็นรสชาติหลัก นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบของบางรสชาติน้ำส้มสายชูเทียมเช่น "เกลือและน้ำส้มสายชู" รสมันฝรั่งทอด. [7] กระบวนการของการหมัก malolactic แปลงกรดมาลิแลคติกกรดรุนแรงน้อยลงมาก กรดเกิดขึ้นตามธรรมชาติในผักและผลไม้จำนวนมากและถูกสร้างขึ้นในการเผาผลาญอาหารผลไม้. [8] Malic กรดเมื่อเพิ่มให้กับสินค้าอาหารจะเขียนแทนด้วย E จำนวน E296 กรดเป็นแหล่งที่มาของเปรี้ยวมากในขนมสหรัฐอเมริกาผลิตที่เรียกว่าขนมมาก นอกจากนี้ยังใช้มีหรือในสถานที่ของกรดซิตริกเปรี้ยวน้อยลงในขนมหวานเปรี้ยว ขนมเหล่านี้บางครั้งที่มีป้ายกำกับคำเตือนระบุว่าการบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ได้รับการอนุมัติเพื่อใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารในสหภาพยุโรป [9] สหรัฐอเมริกา [10] และออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ [11] (ซึ่งจะมีการระบุไว้ตาม INS จำนวน 296 ของมัน). กรดให้ 10 กิโลจูลของพลังงานต่อกรัมในช่วง การย่อยอาหาร. [12]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กรดมาลิกที่แยกได้ครั้งแรกจากน้ำผลไม้แอปเปิ้ล โดย คาร์ล วิลเฮล์ม ชิลในของ [ 3 ] อองตวน ลาวัวซิเยร์ใน 1787 เสนอชื่อกรด malique ซึ่งมาจากคำภาษาละตินสำหรับแอปเปิ้ล , ม. สยาม ลัม - เป็นชื่อสกุลมารุ [ 4 ] [ 5 ] ในเยอรมันมันเป็นชื่อ pfels IKEA และน. ( หรือ apfels และพหูพจน์หรือเอกพจน์ ure ) หลังจากผลแอปเปิ้ล แต่เกลือ ( s ) malat ( E ) กรดมาลิก มีส่วนช่วยในความเปรี้ยวของแอปเปิ้ลเขียว มันคือปัจจุบันขององุ่นและไวน์ที่มีความเข้มข้นมากที่สุด บางครั้งสูงถึง 5 g / L . [ 6 ] มันเกี่ยวข้องกับไวน์รสชาติเปรี้ยว ถึงแม้ว่าปริมาณลดลงเมื่อเพิ่มระดับความสุกของผลไม้ รสชาติของกรดมาลิกจะชัดเจนมาก และบริสุทธิ์ในผักชนิดหนึ่งเป็นพืชซึ่งเป็นรสชาติหลัก นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบของบางรสน้ำส้มสายชูเทียม เช่น " เกลือและน้ำส้มสายชู " รสมันฝรั่ง [ 7 ]กระบวนการหมักกรด malic malolactic แปลงมาก milder ของกรด . กรดมาลิกเกิดขึ้นตามธรรมชาติในผลไม้และผักมาก และถูกสร้างขึ้นในการเผาผลาญผล [ 8 ]กรดมาลิก เมื่อเพิ่มให้กับสินค้าอาหาร เขียนโดย E หมายเลข e296 . กรดมาลิกเป็นแหล่งที่มาของความฝาดเผ็ดร้อนแสบลิ้นมาก ในสหรัฐอเมริกา ที่ผลิตขนมลูกอมมากที่เรียกว่า นอกจากนี้ยังใช้กับหรือในสถานที่ของกรดซิตริกเปรี้ยวน้อยลงในขนมเปรี้ยว ขนมเหล่านี้บางครั้งจะติดป้ายที่มีคำเตือนระบุว่า การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองของปาก มันได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารใน EU [ 9 ] [ 10 ] และอเมริกาออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ [ 11 ] ( ซึ่งเป็น บริษัท จดทะเบียนโดย outs จำนวน 296 )กรดมาลิกให้ 10 กิโลจูลพลังงานต่อกรัม [ 12 ] ในระหว่างการย่อยอาหาร