Rivers possess a delicate ecology t

Rivers possess a delicate ecology that depends on a regular cycle of disturbance within certain tolerances. The plant and animal communities that inhabit the river and river margins have evolved to adapt to their river's own peculiar pattern of flood and drought, slow and fast current. Dams disrupt this ecology. There are several types of dams.
The first effect of a dam is to alter the pattern of disturbances on which the plants and animals of a river depend. As an example, a fish on a certain river may only reproduce during April of every year so that its offspring will have abundant food and places to hide. If the normal spring flood never comes because a dam holds the river back, the offspring will be produced during a time when they cannot possibly survive. Vegetation, too, depends upon these regular cycles of flood. Quite often, people will decide that they can spare no water at all and no flooding at all will occur in the stream. Or they may have built the dams specifically to stop flooding so they can build houses in the floodplains. When this happens, riparian vegetation, the vegetation bordering the river, changes forever. An example of this may be found in much of the Southwest United States, where enormous floodplains of cottonwood, marsh and grasses have been replaced by dry, barren areas of tamarisk.
If the dam is allowed to release water from its reservoir, it will often do so only once in awhile, rather than in the frequent, small floods as are seen in nature. This leads to scouring and armoring of the riverbed. The higher energy of the sudden floods picks up and removes smaller sediments like silt, sand, and gravel, as well as aquatic plants and animals, leafy debris, and large woody debris. Complex sets of habitats are erased. The riverbed below the dam becomes like a pavement of cobbles and loses its value as habitat for plants, macroinvertebrates, and fish. Another reason that riverbeds become scoured and armored is that dams remove sediment from the river. The river, which now has no sediment, has improved carrying capacity and will pick up sediment from the streambed below the dam. It is much as though the river has been "starved" of its sediment. As in everything else in nature, balance will be achieved one way or the other.
Dams hold back not only sediment, but also debris. The life of organisms (including fish) downstream depends on the constant feeding of the river with debris. This debris includes leaves, twigs, branches, and whole trees, as well as the organic remains of dead animals. Debris not only provides food, it provides hiding places for all sizes of animals and surfaces for phytoplankton and microorganisms to grow. Without flooding and without a healthy riparian zone, this debris will be scarce. Adding to the problem, although debris might come from the river above the dam, it is instead trapped in the reservoir, and never appears downstream. The bottom level of the food web is removed. All in all, the loss of sediment and debris means the loss of both nutrients and habitat for most animals.
Temperature is another problem. Rivers tend to be fairly homogenous in temperature. Reservoirs, on the other hand, are layered. They are warm at the top and cold at the bottom. If water is released downstream, it is usually released from the bottom of the dam, which means the water in the river is now colder than it should be. Many macroinvertebrates depend on a regular cycle of temperatures throughout the year. When we change that, we compromise their survival. For instance, a stonefly may feel the cold temperatures and delay its metamorphosis. This may mean that at a critical lifestage it will be living in the depth of winter rather than in autumn as it should have been.
Fish passage is a concern with dams. Many fishes must move upstream and downstream to complete their lifecycles. Dams are often built without fish ladders. When fish ladders are provided, they seldom work as needed. If enough adult fishes do manage to climb above a dam, there remains the issue of their young: how will they get back downstream? Many are killed by predators while they wander in the slow waters of the reservoir above the dam. Many are killed in their fall downward through the dam to the river below. They aren't killed by the fall itself, but by the high levels of nitrogen gas at the base of the dam. In other words, like divers who go too deep, they get the "bends.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แม่น้ำที่มีระบบนิเวศละเอียดอ่อนที่ขึ้นอยู่กับวงจรปกติของรบกวนภายในความคลาดเคลื่อนบาง ชุมชนพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำและแม่น้ำขอบมีพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบเฉพาะของแม่น้ำน้ำท่วมและภัยแล้ง ช้า และปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว เขื่อนทำลายระบบนิเวศนี้ มีหลายประเภทของเขื่อน ผลแรกของเขื่อนคือการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบของการรบกวนที่พืชและสัตว์น้ำขึ้น ตัวอย่างเช่น ปลาในแม่น้ำบางอาจเพียงเกิดในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีเพื่อให้ลูกหลานของมันจะมีอาหารมากมายและสถานที่ซ่อน ถ้าน้ำท่วมฤดูใบไม้ผลิที่ปกติไม่เคยมา เพราะเขื่อนเก็บน้ำกลับ จะมีผลิตลูกหลานในช่วงเวลาที่เมื่อพวกเขาไม่อาจอยู่รอด พืชผัก เกินไป ขึ้นอยู่กับเหล่านี้รอบปกติของน้ำท่วม บ่อย ท่านจะตัดสินใจว่า พวกเขาสามารถสำรองน้ำทั้งหมด และไม่มีน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในกระแส หรือพวกเขาอาจได้รับการสร้างเขื่อนโดยเฉพาะเพื่อหยุดน้ำท่วมเพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างบ้านในพื้นที่ราบลุ่ม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ เลี่ยนพืช พืชที่มีพรมแดนติดแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงตลอดไป ตัวอย่างนี้อาจพบมากของตะวันตกเฉียงใต้สหรัฐอเมริกา ที่มหาศาลต้นไม้ค็อต มาร์ช และหญ้าถูกแทนที่ ด้วยแห้ง แห้งแล้งพื้นที่ของต้นสนหมอก ถ้าอนุญาตให้ปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำของเขื่อน มันจะมักจะทำดังนั้นเพียงครั้งเดียวในชั่วขณะหนึ่ง มากกว่า ในน้ำท่วมบ่อย เล็กเท่าที่เห็นในธรรมชาติ นี้นำไปสู่ใย และผิดพลาดของเกราะของร่อง พลังงานสูงกว่าน้ำท่วมฉับพลันรับ และเอาตะกอนขนาดเล็กเช่นตะกอน ทราย และ กรวด ตลอดจนพืช และสัตว์ เศษใบ และเศษไม้ขนาดใหญ่ ชุดที่ซับซ้อนของแหล่งที่อยู่อาศัยจะถูกลบออก ร่องด้านล่างเขื่อนเป็นเหมือนทางเดินของ cobbles และสูญเสียค่าของมันเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับพืช macroinvertebrates และปลา อีกเหตุผลที่ว่า สร้างเป็น scoured และเกราะเป็นว่า เขื่อนเอาตะกอนจากแม่น้ำ แม่น้ำ ซึ่งขณะนี้ มีตะกอนไม่มี ดีขึ้นแบกความจุ และจะรับตะกอนจาก streambed ด้านล่างเขื่อน เท่าที่ว่า แม่น้ำมีการ "starved" ของตะกอนได้ ในทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ดุลจะเป็นวิธีหนึ่งที่ประสบความสำเร็จหรืออื่น ๆ เขื่อนถือกลับไม่เพียงตะกอน แต่ยังเศษ ชีวิตของสิ่งมีชีวิต (รวมปลา) น้ำขึ้นอยู่การให้อาหารคงที่ของแม่น้ำเศษ เศษนี้มีใบ กิ่ง สาขา และต้นไม้ทั้งหมด รวมทั้งซากอินทรีย์ของสัตว์ที่ตายแล้ว มันมีเศษขยะไม่ให้อาหาร ซ่อนสถานที่สำหรับทุกขนาดของสัตว์และพื้นผิวสำหรับแพลงก์ตอนพืชและจุลินทรีย์จะเติบโต โดย ไม่เกิดน้ำท่วม และ ไม่เลี่ยนโซนสุขภาพ เศษนี้จะหายาก เพิ่มปัญหา ถึงแม้ว่าเศษอาจมาจากแม่น้ำเขื่อน มันถูกขังอยู่ในถังแทน และไม่เคยปรากฏปลายน้ำ ระดับด้านล่างของเว็บอาหารจะถูกเอาออก ทั้งหมดในทุก การสูญเสียตะกอนและเศษหมายถึง การสูญเสียสารอาหารและที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์ส่วนใหญ่ อุณหภูมิเป็นปัญหาอื่น แม่น้ำมักจะ มีคุณสมบัติเหมือนกันค่อนข้างในอุณหภูมิ อ่างเก็บน้ำ คง เลเยอร์นี้ พวกเขาจะอบอุ่นด้านบนและด้านล่างเย็น ถ้าปล่อยน้ำปลายน้ำ มันมักจะออกจากด้านล่างของเขื่อน ซึ่งหมายความว่า น้ำในแม่น้ำคือตอนนี้หนาวเย็นกว่าที่ควรจะ Macroinvertebrates มากมายขึ้นกับวงจรปกติของอุณหภูมิตลอดทั้งปี เมื่อเราเปลี่ยนที่ เราประนีประนอมความอยู่รอดของพวกเขา เช่น stonefly อาจรู้สึกอุณหภูมิเย็น และชะลอการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจหมายความ ว่า ที่ lifestage สำคัญ มันจะมีชีวิตอยู่ ในความลึกของฤดูหนาว มากกว่าฤดูใบไม้ร่วงควรได้รับ ปลาเนื้อเรื่องที่เป็นกังวลกับเขื่อน ปลาได้มากต้องย้ายต้นน้ำ และปลายน้ำเพื่อให้วงจรชีวิตของพวกเขา เขื่อนมักจะสร้าง โดยบันไดปลา เมื่อปลาบันไดไว้ พวกเขาไม่ค่อยทำงานตามความจำเป็น ถ้าปลาพอผู้ใหญ่จัดการปีนข้างเขื่อน ยังคงปัญหาของหนุ่มของพวกเขา: วิธีพวกเขาจะกลับปลาย หลายคนจะถูกฆ่า โดยนักล่าในขณะที่พวกเขาเดินในน้ำช้าของอ่างเก็บน้ำเขื่อน หลายคนจะถูกฆ่าในความตกลงผ่านเขื่อนแม่น้ำด้านล่าง พวกเขาไม่ได้ฆ่า โดยตกเอง แต่ระดับความสูงของก๊าซไนโตรเจนที่ฐานของเขื่อน ในคำอื่น ๆ เช่นนักดำน้ำที่ลึกเกินไป พวกเขาได้รับ "โค้ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แม่น้ำมีระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนที่ขึ้นอยู่กับรอบปกติของความวุ่นวายภายในความคลาดเคลื่อนบางอย่าง พืชและสัตว์ในชุมชนที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำและแม่น้ำอัตรากำไรขั้นต้นมีการพัฒนาปรับให้เข้ากับรูปแบบที่แปลกประหลาดแม่น้ำของพวกเขาเองจากน้ำท่วมและภัยแล้งช้าและอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เขื่อนทำลายระบบนิเวศนี้ มีหลายประเภทของเขื่อนมี.
ผลแรกของเขื่อนคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการระเบิดซึ่งใช้กับพืชและสัตว์ของแม่น้ำขึ้น เป็นตัวอย่างปลาที่ริมแม่น้ำบางอย่างอาจจะเป็นเพียงการทำซ้ำในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีเพื่อให้ลูกหลานของตนจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์และสถานที่ที่จะซ่อน หากน้ำท่วมในฤดูใบไม้ผลิปกติไม่เคยมาเพราะเขื่อนแม่น้ำถือกลับลูกหลานจะมีการผลิตในช่วงเวลาที่พวกเขาไม่อาจอยู่รอด พืชเกินไปขึ้นอยู่กับรอบปกติเหล่านี้น้ำท่วม บ่อยครั้งมากที่คนจะตัดสินใจว่าพวกเขาสามารถสำรองไม่มีน้ำเลยและไม่มีน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในกระแส หรือพวกเขาอาจได้สร้างเขื่อนโดยเฉพาะที่จะหยุดน้ำท่วมเพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างบ้านในพื้นที่น้ำท่วม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้พืชชายฝั่งพืชที่มีพรมแดนติดแม่น้ำเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ตัวอย่างนี้อาจจะพบมากในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐที่ floodplains มหาศาลของค็บึงและหญ้าได้ถูกแทนที่ด้วยแห้งพื้นที่แห้งแล้งของหมอก.
หากเขื่อนได้รับอนุญาตให้ปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำของมันก็มักจะ ทำเช่นนั้นได้เพียงครั้งเดียวในชั่วขณะหนึ่งมากกว่าในบ่อยน้ำท่วมขนาดเล็กจะเห็นในธรรมชาติ นี้นำไปสู่การกำจัดสิ่งสกปรกและเกราะของแม่น้ำ พลังงานที่สูงขึ้นของน้ำท่วมฉับพลันหยิบขึ้นมาและเอาตะกอนขนาดเล็กเช่นตะกอนทรายและกรวดเช่นเดียวกับพืชน้ำและสัตว์เศษใบและเศษไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ชุดที่ซับซ้อนของแหล่งที่อยู่อาศัยจะถูกลบทิ้ง แม่น้ำด้านล่างเขื่อนจะกลายเป็นเหมือนพื้นหินกรวดและเสียค่าของมันเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับพืช macroinvertebrates และปลา ด้วยเหตุผลที่ว่ากลายเป็น riverbeds Scoured และเกราะก็คือว่าเขื่อนเอาตะกอนจากแม่น้ำ แม่น้ำซึ่งขณะนี้ยังไม่มีตะกอนมีการปรับปรุงขีดความสามารถและจะรับตะกอนจากลำธารด้านล่างเขื่อน มันเป็นอะไรที่ราวกับว่าแม่น้ำได้รับการ "อดอาหาร" ของตะกอนของมัน ในขณะที่ทุกอย่างอื่นในธรรมชาติสมดุลจะทำได้ทางเดียวหรืออื่น ๆ .
เขื่อนกลั้นไม่เพียง แต่ตะกอน แต่ยังเศษ ชีวิตของสิ่งมีชีวิต (รวมทั้งปลา) ปลายน้ำขึ้นอยู่กับการให้อาหารอย่างต่อเนื่องของแม่น้ำที่มีเศษ ซึ่งรวมถึงเศษใบไม้กิ่งไม้กิ่งไม้และต้นไม้ทั้งหมดเช่นเดียวกับซากอินทรีย์ของสัตว์ที่ตายแล้ว เศษไม่เพียง แต่ให้อาหารจะให้สถานที่หลบซ่อนตัวอยู่สำหรับทุกขนาดของสัตว์และพื้นผิวสำหรับแพลงก์ตอนพืชและจุลินทรีย์ที่จะเติบโต โดยไม่ต้องน้ำท่วมและไม่มีบริเวณชายฝั่งที่มีสุขภาพดีเศษนี้จะหายาก การเพิ่มปัญหาได้ แต่เศษเล็กเศษน้อยอาจจะมาจากแม่น้ำเหนือเขื่อนก็ถูกขังแทนในอ่างเก็บน้ำและไม่เคยปรากฏปลายน้ำ ระดับล่างของเว็บอาหารจะถูกลบออก ทั้งหมดในทุกการสูญเสียของตะกอนและเศษหมายถึงการสูญเสียของสารทั้งสองและที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์ที่สุด.
อุณหภูมิเป็นอีกปัญหาหนึ่ง แม่น้ำมีแนวโน้มที่จะเป็นเนื้อเดียวกันอย่างเป็นธรรมในอุณหภูมิ อ่างเก็บน้ำบนมืออื่น ๆ ที่เป็นชั้น พวกเขามีความอบอุ่นที่ด้านบนและเย็นที่ด้านล่าง ถ้าน้ำจะถูกปล่อยออกปลายน้ำก็มักจะปล่อยออกมาจากด้านล่างของเขื่อนซึ่งหมายความว่าน้ำในแม่น้ำอยู่ในขณะนี้เย็นกว่าที่ควรจะเป็น macroinvertebrates หลายคนขึ้นอยู่กับรอบปกติของอุณหภูมิตลอดทั้งปี เมื่อเราเปลี่ยนที่เราประนีประนอมรอดของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น stonefly อาจจะรู้สึกว่าอุณหภูมิที่หนาวเย็นและความล่าช้าของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจหมายความว่าที่ lifestage ที่สำคัญมันจะอาศัยอยู่ในส่วนลึกของฤดูหนาวมากกว่าในฤดูใบไม้ร่วงตามที่มันควรจะเป็น.
ปลาผ่านเป็นกังวลกับเขื่อน ปลาจำนวนมากต้องย้ายต้นน้ำและปลายน้ำให้เสร็จสมบูรณ์วงจรชีวิตของพวกเขา เขื่อนที่สร้างขึ้นมักจะไม่มีบันไดปลา เมื่อบันไดปลาที่มีให้พวกเขาไม่ค่อยจะทำงานตามความจำเป็น ถ้าปลาผู้ใหญ่พอที่จะจัดการปีนขึ้นไปเหนือเขื่อนยังคงมีปัญหาของหนุ่มสาวของพวกเขา: วิธีที่พวกเขาจะได้รับกลับปลายน้ำ? หลายคนถูกฆ่าตายโดยการล่าพวกเขาในขณะที่เดินในน้ำช้าของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน หลายคนถูกฆ่าตายในฤดูใบไม้ร่วงของพวกเขาลดลงผ่านเขื่อนแม่น้ำเบื้องล่าง พวกเขาจะไม่ถูกฆ่าตายโดยการลดลงเอง แต่โดยระดับสูงของก๊าซไนโตรเจนที่ฐานของเขื่อน ในคำอื่น ๆ เช่นนักดำน้ำที่ไปลึกเกินไปพวกเขาได้รับ "โค้ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แม่น้ำมีความละเอียดอ่อนนิเวศวิทยาที่ขึ้นอยู่กับรอบปกติของการรบกวนบางอย่างภายในเกณฑ์ความคลาดเคลื่อน พืชและสัตว์ของชุมชนที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ และแม่น้ำ ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อปรับให้เข้ากับรูปแบบของแม่น้ำเองแปลก น้ำท่วมและภัยแล้ง ช้าและเร็ว ปัจจุบัน เขื่อนทำลายระบบนิเวศนี้ มีหลายประเภทของเขื่อนผลแรกของเขื่อนคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการรบกวนที่พืชและสัตว์ของแม่น้ำขึ้น เป็นตัวอย่าง ปลาในแม่น้ำบางอาจจะเกิดในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี เพื่อให้ลูกหลานของมันจะมีสถานที่อาหารและมากมายซ่อนอยู่ ถ้าน้ำท่วม สปริง ปกติไม่เคยมาเพราะเขื่อนเก็บน้ำกลับ ลูกหลานจะถูกผลิตในระหว่างเวลาที่พวกเขาอาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้ พืชก็ขึ้นอยู่กับเหล่านี้ปกติวัฏจักรของน้ําท่วม บ่อยครั้งที่ผู้คนจะตัดสินใจว่าพวกเขาจะว่างไม่มีน้ำเลยไม่ท่วมทั้งหมดจะเกิดขึ้นในกระแส หรือพวกเขาอาจจะสร้างเขื่อน โดยเฉพาะเพื่อหยุดน้ำท่วมเพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างบ้านใน floodplains . เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ , พืชชายฝั่ง , พืชที่ติดกับแม่น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป ตัวอย่างนี้อาจจะพบมากในทางตะวันตกเฉียงใต้สหรัฐอเมริกา ที่มหาศาล Gardner ของ Cottonwood , มาร์ชและหญ้าถูกแทนที่ด้วยบริการ พื้นที่ที่แห้งแล้งของ tamarisk .ถ้าเขื่อนจะอนุญาตให้ปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำก็จะมักจะทำเพียงครั้งเดียวในชั่วขณะหนึ่ง มากกว่า ในบ่อย น้ำท่วมเล็กน้อยจะเห็นในธรรมชาติ นี้นำไปสู่การกัดเซาะและ armoring ของแม่น้ำ . พลังงานที่สูงของน้ำท่วมฉับพลันและตะกอนขนาดเล็ก เช่น หยิบเอาตะกอน ทราย และกรวด ตลอดจนพืชน้ำและสัตว์ เศษซากใบและเศษไม้ขนาดใหญ่ . ชุดที่ซับซ้อนของที่อยู่อาศัยจะถูกลบไป แม่น้ำด้านล่างเขื่อนก็เหมือนทางเดินของก้อนถ่าน และสูญเสียค่าของมันเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับพืช ปัจจัย และ ปลา อีกเหตุผลที่ riverbeds เป็น scoured และยานเกราะที่เขื่อนเอาตะกอนจากแม่น้ำ แม่น้ำ ซึ่งตอนนี้ไม่มีตะกอน มีการปรับปรุงขีดความสามารถ และจะรับตะกอนจาก streambed ด้านล่างเขื่อน มันเป็นเหมือนแม่น้ำได้รับการ " อดอาหาร " ของตะกอน เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ความสมดุลจะเกิดขึ้นในหนึ่งวิธีหรืออื่น ๆเขื่อนตะกอนกลับไม่เพียง แต่ยัง เศษ ชีวิตของสิ่งมีชีวิต ( รวมถึงปลา ) ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าคงที่ให้อาหารของแม่น้ำกับทะเล นี้รวมถึงเศษใบไม้ กิ่ง ก้าน และต้นไม้ทั้งหมด รวมทั้งซากอินทรีย์ของสัตว์ที่ตายแล้ว เศษไม่เพียง แต่ให้อาหารมันมีสถานที่หลบซ่อนสำหรับขนาดทั้งหมดของสัตว์และพื้นผิวสำหรับแพลงก์ตอนพืชและจุลินทรีย์ที่จะเติบโต อุทกภัยและไม่มีสุขภาพชายฝั่งเขตเศษนี้จะหายาก เพิ่มปัญหา แม้ว่าเศษอาจมาจากแม่น้ำเหนือเขื่อน มันแทนติดอยู่ในอ่างเก็บน้ำ และไม่เคยปรากฏขึ้นล่อง ระดับล่างของสายใยอาหารจะถูกเอาออก ทั้งหมดในทุก , การสูญเสียดินและ debris หมายถึงการสูญเสียทั้งรังและที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์มากที่สุดอุณหภูมิเป็นอีกปัญหาหนึ่ง แม่น้ำมีแนวโน้มที่จะค่อนข้าง homogenous ในอุณหภูมิ อ่างเก็บน้ำ บนมืออื่น ๆเป็นชั้น พวกเขาจะอบอุ่นที่ด้านบนและเย็นที่ด้านล่าง ถ้าน้ำถูกปล่อยตามน้ำมันมักจะปล่อยออกมาจากด้านล่างของเขื่อน ซึ่งหมายถึง น้ำในแม่น้ำตอนนี้หนาวกว่าที่ควรจะเป็น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยรอบปกติของอุณหภูมิตลอดทั้งปี เมื่อเราเปลี่ยนที่ เราทำให้พวกเขามีชีวิตรอด ตัวอย่าง stonefly อาจรู้สึกอุณหภูมิเย็นและความล่าช้าของการเปลี่ยนแปลง . นี้อาจหมายความ ว่า ที่ lifestage วิกฤตก็จะอยู่ในความลึกของฤดูหนาวมากกว่าในฤดูใบไม้ร่วงเท่าที่ควรทางปลาเป็นกังวลกับเขื่อน มีปลาต้องไปตามน้ำทวนน้ำ และเพื่อให้ lifecycles ของพวกเขา เขื่อนจะถูกสร้างขึ้นมักจะไม่มีบันไดปลา เมื่อบันไดปลามีให้ พวกเขามักจะทำงานได้ตามที่ต้องการ ถ้าผู้ใหญ่พอปลาจัดการปีนขึ้นไปเหนือเขื่อน ยังคงมีปัญหาของพวกเขายังเด็ก : วิธีการที่พวกเขาจะได้รับกลับตามน้ำ ? หลายคนถูกฆ่าโดยนักล่าในขณะที่พวกเขาเดินในน้ำช้าของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน หลายคนถูกฆ่าตายในฤดูใบไม้ร่วงของพวกเขาจากเขื่อนแม่น้ำด้านล่าง พวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าตายโดยตกเอง แต่ด้วยระดับของก๊าซไนโตรเจนที่ฐานของเขื่อน ในคำอื่น ๆที่ชอบดำน้ำที่ลึกจนเกินไป พวกเขาได้รับ " โค้ง